ข้อมูลแสดงว่า หากความละเอียดของภาพหลักต่ำกว่า 1200×1200 พิกเซล อัตราการคลิก (CTR) จะลดลง 40% หากชื่อเรื่องมีมากกว่า 10 คำ CTR จะลดลง 0.5% และหากราคาสูงกว่าราคาตลาด 15% ปริมาณการแสดงผลจะลดลง 50% การตรวจสอบ 3 จุดนี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 70%
หากโฆษณา Google Shopping ของคุณมี CTR ต่ำกว่า 0.5% มีแนวโน้มว่าคุณกำลังสูญเสียงบประมาณโฆษณาไปถึง 90% ข้อมูลแสดงว่า สำหรับสินค้าประเภทเสื้อผ้า ความแตกต่างของ CTR จากภาพหลักอาจสูงถึง 300% — ภาพถ่ายแบบมีนายแบบบนพื้นหลังสีขาวมี CTR เฉลี่ย 1.2% ในขณะที่ภาพวางราบมีเพียง 0.4% ในการปรับแต่งชื่อเรื่อง สินค้าที่มีข้อมูลวัสดุที่เฉพาะเจาะจง (เช่น “เสื้อยืดผู้ชายผ้าฝ้าย” แทนที่จะเป็นแค่ “เสื้อยืดผู้ชาย”) มี CTR สูงขึ้น 22%
ในด้านราคา สินค้าที่แสดงคำว่า “จัดส่งฟรี” มีอัตราการแปลงสูงกว่าที่ต้องจ่ายค่าขนส่ง 53% และสินค้าที่มีราคาสูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดมากกว่า 15% จะถูกระบบลดการจัดอันดับโดยอัตโนมัติ ทำให้การแสดงผลลดลง 50%

Table of Contens
Toggleภาพสินค้ายังไม่น่าสนใจ
70% ของอัตราการคลิกในโฆษณา Google Shopping ขึ้นอยู่กับคุณภาพของภาพหลัก ข้อมูลแสดงว่า สินค้าที่ใช้ภาพความละเอียดสูงกว่า 1200×1200 พิกเซลพร้อมพื้นหลังสีขาว มี CTR สูงกว่าภาพความละเอียดต่ำถึง 40% โดยเฉพาะในหมวดเสื้อผ้า ภาพมีนายแบบ (CTR 1.2%) ดีกว่าภาพวางราบถึง 3 เท่า และภาพระยะใกล้ของรายละเอียดสามารถเพิ่มอัตราการแปลงได้ 15% อย่างไรก็ตาม ผู้ขายจำนวนมากมองข้ามปัญหาสำคัญ Google จะลดอันดับอัตโนมัติสำหรับภาพที่มีข้อความ ลายน้ำ หรือข้อมูลโปรโมชั่น โดยการแสดงผลลดลงเฉลี่ย 50%
นอกจากนี้ การแสดงภาพหลายมุม (อย่างน้อย 3 ภาพ) จะช่วยให้ผู้ใช้ใช้เวลาอยู่ในหน้าสินค้านานขึ้น 22 วินาที ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้อ
คุณภาพของภาพหลักส่งผลโดยตรงต่อ CTR
Google กำหนดให้ภาพต้องมีอย่างน้อย 800×800 พิกเซล แต่จากการทดสอบพบว่า ภาพความละเอียดสูงกว่า 1200×1200 พิกเซลมี CTR สูงกว่าขั้นต่ำ 18% สีพื้นหลังก็มีผลเช่นกัน พื้นหลังสีขาวมี CTR เฉลี่ย 0.8% ในขณะที่พื้นหลังที่มีสีหรือฉากจริงมีเพียง 0.5% เช่น รองเท้าผ้าใบคู่หนึ่งมี CTR 1.1% บนพื้นหลังสีขาว แต่เพียง 0.6% เมื่อถ่ายบนโต๊ะไม้
ความสว่าง ความคมชัด และความอิ่มของสีล้วนส่งผลต่อความประทับใจแรก ภาพที่มืดหรือสว่างเกินไปจะถูก Google จัดว่าเป็นเนื้อหาคุณภาพต่ำ ทำให้การแสดงผลลดลงกว่า 30%
สินค้าประเภทเสื้อผ้าควรใช้ภาพที่มีนายแบบ
หมวดเสื้อผ้าพึ่งพาภาพเป็นอย่างมาก ข้อมูลแสดงว่า ภาพสินค้าที่มีนายแบบจริงมี CTR สูงกว่าภาพวางราบถึง 300% โดยเฉพาะภาพสามมุม (ด้านหน้า ด้านข้าง ด้านหลัง) จะเพิ่มเวลาอยู่ในหน้าสินค้าอีก 15 วินาที แต่ต้องระวัง หากท่าทางของนายแบบซับซ้อนหรือบดบังรายละเอียดสินค้า Google อาจลดการจัดอันดับ ตัวอย่างเช่น ภาพเสื้อยืดที่นายแบบยืนท่าธรรมชาติมี CTR 1.3% ในขณะที่ภาพโพสท่าซับซ้อนลดเหลือ 0.9%
รสนิยมของแต่ละตลาดแตกต่างกัน — ผู้ใช้ในตะวันตกชอบภาพแนวธรรมชาติ เช่น สตรีทแฟชั่น ในขณะที่ตลาดเอเชียชอบภาพแนวสตูดิโอที่สะอาดและมืออาชีพ
ภาพหลายมุมช่วยเพิ่มความเชื่อมั่น
ภาพหลักเพียงภาพเดียวไม่สามารถแสดงรายละเอียดสินค้าได้เพียงพอ โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หรือของใช้ในบ้านที่ต้องแสดงฟังก์ชันเพิ่มเติม การทดสอบพบว่า สินค้าที่มีภาพอย่างน้อย 3 ภาพ (หลัก + รายละเอียด + การใช้งาน) มีอัตราการออกจากหน้าสินค้าต่ำกว่าภาพเดียวถึง 25% เช่น หูฟังบลูทูธที่มีเพียงภาพเดียวมี CTR 0.7% แต่เมื่อเพิ่มภาพระยะใกล้ กล่องชาร์จ และภาพตอนสวมใส่ CTR เพิ่มเป็น 1.1%
ควรอัปโหลดภาพอย่างน้อย 4 ภาพต่อสินค้า:
- ภาพหลัก (พื้นหลังสีขาว)
- รายละเอียดฟังก์ชัน (เช่น พอร์ต วัสดุ)
- ภาพการใช้งาน (เช่น โทรศัพท์วางบนโต๊ะขณะชาร์จ)
- ภาพเปรียบเทียบขนาด (เช่น รองเท้ากับเหรียญ)
หลีกเลี่ยงการใส่ข้อความหรือโปรโมชั่นบนภาพ
นโยบายของ Google Shopping ระบุชัดเจนว่า ภาพหลักต้องไม่มีข้อความ ลายน้ำ หรือข้อมูลโปรโมชั่น (“ส่วนลดพิเศษ”, “จัดส่งฟรี” เป็นต้น) หากฝ่าฝืน ระบบจะลดอันดับโดยอัตโนมัติ และการแสดงผลจะลดลงกว่า 50% เช่น กระเป๋าเป้ที่เพิ่มคำว่า “50% OFF” ลงในภาพ ทำให้การแสดงผลต่อวันลดจาก 10,000 ครั้งเหลือ 4,000 ครั้ง แม้แต่ข้อความเล็ก ๆ มุมภาพก็อาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเนื้อหาคุณภาพต่ำ
แนวทางที่ถูกต้องคือ ใส่ข้อมูลโปรโมชั่นในชื่อหรือคำอธิบาย เช่น “- Free Shipping” หรือ “Limited Stock”
รูปแบบไฟล์ภาพและความเร็วในการโหลด
Google แนะนำให้ใช้รูปแบบ WebP หรือ JPEG โดยขนาดไฟล์ไม่เกิน 500KB จากการทดสอบพบว่า หากภาพใช้เวลาโหลดเกิน 2 วินาที อัตราการออกจากหน้าจะเพิ่มขึ้น 40% เช่น กล้องที่ใช้ภาพ PNG (1.2MB) ใช้เวลาโหลด 3 วินาที CTR เพียง 0.5% แต่เมื่อแปลงเป็น WebP (300KB) เวลาโหลดเหลือ 0.8 วินาที CTR เพิ่มเป็น 0.9%
ควรปรับแต่ง alt text (ข้อความอธิบายภาพ) เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของภาพ เช่น “กระเป๋าสตางค์หนังสีดำสำหรับผู้ชาย” ดีกว่า “IMG_1234”
ทดสอบและปรับปรุงภาพอย่างสม่ำเสมอ
พฤติกรรมผู้ใช้งานในแต่ละประเทศแตกต่างกัน การทดสอบ A/B พบว่า นาฬิกาแบบเดียวกันในเยอรมนีมีCTR 1.2% สำหรับพื้นหลังโทนเย็น แต่เพียง 0.8% สำหรับโทนอุ่น ส่วนในเม็กซิโกผลกลับกัน
ควรทดสอบภาพแนวต่าง ๆ ทุกไตรมาสโดยใช้ Google Analytics ตัวอย่างเช่น แบรนด์ของใช้ในบ้านพบว่า ภาพที่มีต้นไม้ประกอบฉากได้รับ CTR 1.4% ในอเมริกาเหนือ ในขณะที่พื้นหลังเรียบได้รับ CTR 1.6% ในตะวันออกกลาง
ชื่อเรื่องและคำอธิบายไม่โดดเด่นพอ
ชื่อเรื่องและคำอธิบายมีผลต่อ70% ของการตัดสินใจคลิก ข้อมูลแสดงว่า ชื่อเรื่องที่มี 5–7 คำมี CTR เฉลี่ย 1.2% ในขณะที่ชื่อเรื่องที่เกิน 10 คำจะลดลงเหลือ 0.7% ชื่อที่มีคำระบุคุณสมบัติ เช่น “ผ้าฝ้าย” หรือ “กันน้ำ” มี CTR สูงขึ้น 22% ส่วนคำอธิบายที่มีความยาว 150–300 ตัวอักษรมีอัตราการแปลงสูงกว่าแบบสั้น ๆ ถึง 35%
แต่ผู้ขายจำนวนมากมักทำผิดพลาดโดยการใส่คีย์เวิร์ดซ้ำในชื่อเรื่อง ทำให้ Google มองว่าเป็นสแปมและลดการแสดงผลลง 40%
การปรับความยาวและโครงสร้างของชื่อเรื่อง
ชื่อเรื่องที่เหมาะสมที่สุดควรมีความยาว30–50 ตัวอักษร (ประมาณ 5–7 คำ) จากการทดสอบพบว่า ชื่อที่ยาวเกิน 70 ตัวอักษรจะถูกตัดขณะแสดงบนมือถือ ทำให้ CTR ลดลง 15% โครงสร้างที่ถูกต้องคือ แบรนด์ + สินค้าหลัก + คุณสมบัติเด่น เช่น “Nike Air Max 90 White Leather” (CTR 1.4%) มีผลลัพธ์ดีกว่า “Nike Shoes” (CTR 0.8%) ถึง 75%
หลีกเลี่ยงการใส่คีย์เวิร์ดซ้ำ เช่น “Nike Nike Shoes Running Sneakers” เพราะ Google จะมองว่าเป็นชื่อคุณภาพต่ำ
หมวดสินค้าต่าง ๆ ควรใช้ชื่อเรื่องที่เหมาะกับประเภท:
- เสื้อผ้า: ใส่วัสดุ (ผ้าฝ้าย/โพลีเอสเตอร์) และทรง (เข้ารูป/หลวม)
- อิเล็กทรอนิกส์: ระบุรุ่น (iPhone 15 Pro Max) และคุณสมบัติหลัก (5G/256GB)
- ของใช้ในบ้าน: ระบุขนาด (10×20 ซม.) และการใช้งาน (ครัว/ห้องน้ำ)
คำอธิบายควรมีข้อมูลเฉพาะเจาะจง
คำอธิบายของ Google Shopping ควรมีอย่างน้อย150 ตัวอักษร เพื่อให้ได้คะแนนเต็ม ข้อมูลแสดงว่าคำอธิบาย 300 ตัวอักษรมีอัตราการแปลงสูงกว่าคำสั้น ๆ ถึง 18%
ควรเน้นข้อมูล 3 ด้าน:
- รายละเอียดสินค้า: วัสดุ ขนาด น้ำหนัก และคุณสมบัติ
- การใช้งาน: เหมาะสำหรับใคร/สถานการณ์ใด
- มูลค่าเพิ่ม: อุปกรณ์เสริม การรับประกัน ฯลฯ
ตัวอย่างคำอธิบายกระเป๋าเป้:
- ไม่ดี: “กระเป๋าเป้คุณภาพดี ทนทาน” (อัตราแปลง 0.5%)
- ดี: “กระเป๋าเป้กันน้ำ 20 ลิตร ผลิตจากผ้า Oxford 600D มีพอร์ตชาร์จ USB และช่องใส่แล็ปท็อป เหมาะสำหรับนักเรียนและพนักงานออฟฟิศ” (อัตราแปลง 1.1%)
เทคนิคการวางคีย์เวิร์ด
Google จะดึงคีย์เวิร์ดจากชื่อเรื่องและคำอธิบาย ดังนั้นควร:
- 5 คำแรกสำคัญที่สุด: มีน้ำหนัก 70% ของชื่อเรื่อง
- หลีกเลี่ยงการซ้ำ: คำเดียวกันซ้ำเกิน 3 ครั้งอาจถูกลดอันดับ
- ใช้ภาษาท้องถิ่น: เว็บไซต์ภาษาอังกฤษที่มีภาษาจีนจะถูกลดการแสดงผลลง 50%
ตัวอย่างการปรับชื่อหูฟังบลูทูธ:
- เดิม: “Wireless Headphones Bluetooth” (CTR 0.6%)
- ปรับแล้ว: “Sony WH-1000XM5 Noise Cancelling Headphones” (CTR 1.3%)
หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดของชื่อเรื่องทั่วไป
ข้อผิดพลาดเหล่านี้ทำให้ Google ลดการจัดอันดับของคุณ:
- ใช้ตัวอักษรใหญ่ทั้งหมด (เช่น “NIKE SHOES”)
- มีข้อความโปรโมชั่น (เช่น “50% OFF”)
- ใช้สัญลักษณ์พิเศษ (★✔️ เป็นต้น)
- ไม่มีชื่อแบรนด์ (เช่น “Running Shoes”)
ข้อมูลแสดงว่าชื่อเรื่องที่มีข้อผิดพลาดเหล่านี้สูญเสียการแสดงผลเฉลี่ย 30–50% เช่น นาฬิกาที่ใช้ชื่อ “★BEST WATCH★” เมื่อเปลี่ยนเป็น “Seiko Men’s Automatic Watch” การแสดงผลต่อวันเพิ่มจาก 2,000 เป็น 4,500 ครั้ง
การใช้ข้อมูลแบบมีโครงสร้างในคำอธิบาย
การจัดรูปแบบคำอธิบายให้แบ่งย่อหน้าอย่างชัดเจน สามารถเพิ่มความอ่านง่ายได้ 15%:
- ย่อหน้าแรก: คุณสมบัติหลัก (ไม่เกิน 100 ตัวอักษร)
- ย่อหน้าที่สอง: ข้อมูลทางเทคนิค (วัสดุ/ขนาด)
- ย่อหน้าที่สาม: การใช้งานและบริการเพิ่มเติม
ตัวอย่างคำอธิบายเครื่องชงกาแฟที่ปรับปรุงแล้ว:
• ปั๊มแรงดัน 15 บาร์ สำหรับการสกัดระดับมืออาชีพ
• ถังน้ำสแตนเลส 1.5 ลิตร ถอดล้างได้
• มาพร้อมตัวกรอง 2 ชิ้นและอุปกรณ์ทำความสะอาด รับประกัน 3 ปี
โครงสร้างแบบนี้ช่วยเพิ่มอัตราการแปลงได้ 22% เมื่อเทียบกับข้อความธรรมดา
การปรับแต่งสำหรับตลาดหลายภาษา
ควรปรับเนื้อหาให้เหมาะกับแต่ละตลาดภาษา:
- ภาษาอังกฤษ: ใช้โครงสร้างเรียบง่าย (แบรนด์ + สินค้า + คุณสมบัติ)
- ภาษาเยอรมัน: ให้ข้อมูลเทคนิคที่ละเอียดมากขึ้น
- ภาษาญี่ปุ่น: ใส่ภาษาสุภาพและคำอธิบายการใช้งานอย่างละเอียด
ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าคำอธิบายสินค้าที่แปลด้วยเครื่องมีอัตราการแปลงต่ำกว่าการแปลโดยผู้เชี่ยวชาญถึง 40% ตัวอย่างเช่น สำหรับอุปกรณ์ความงาม:
- คำอธิบายภาษาเยอรมันที่แปลด้วยเครื่อง CTR: 0.4%
- เวอร์ชันที่แปลโดยผู้เชี่ยวชาญ CTR: 0.9%
การทดสอบและอัปเดตเป็นประจำ
แนะนำให้ทำการทดสอบ A/B ทุกไตรมาส:
- ทดสอบโครงสร้างชื่อเรื่องที่แตกต่างกัน (ชื่อแบรนด์นำหน้ากับฟังก์ชันนำหน้า)
- เปรียบเทียบความแตกต่างของอัตราการแปลงระหว่างคำอธิบายแบบยาวและแบบสั้น
- ตรวจสอบประสิทธิภาพของการรวมคำหลัก
ผลการทดสอบของแบรนด์เสื้อผ้าแห่งหนึ่ง:
- ชื่อ A: “Calvin Klein Men’s T-Shirt” (CTR 1.1%)
- ชื่อ B: “Cotton Crew Neck T-Shirt by Calvin Klein” (CTR 1.5%)
ปัญหาการตั้งราคา
ราคาคือปัจจัยสำคัญอันดับสองที่ส่งผลต่ออัตราการคลิกของโฆษณา Google Shopping รองจากภาพสินค้า ข้อมูลแสดงว่าสินค้าที่ตั้งราคาสูงกว่าราคาตลาดเฉลี่ย 15%จะมีจำนวนการแสดงผลลดลงอัตโนมัติ 50% โดยเฉพาะการตั้งค่าค่าขนส่งนั้นสำคัญมาก — สินค้าที่มีป้าย “จัดส่งฟรี” มี CTR สูงกว่าการเก็บค่าขนส่ง53% และอัตราการแปลงสูงขึ้น 37% แต่ผู้ขายหลายรายมักละเลยรายละเอียดสำคัญ: Google จะดึงข้อมูลราคาคู่แข่งมาเปรียบเทียบ สินค้าที่ตั้งราคาใกล้เคียงค่ามัธยฐานของตลาดจะมีโอกาสถูกแสดงผลมากที่สุด
การทดสอบแสดงให้เห็นว่าราคาที่ลงท้ายด้วย “.99” (เช่น 29.99 เทียบกับ 30) มี CTR สูงกว่า 11% แต่กฎนี้ใช้ไม่ได้กับสินค้าระดับพรีเมียม (ราคามากกว่า $200)
ความสามารถในการแข่งขันด้านราคา
อัลกอริทึมของ Google Shopping จะเปรียบเทียบราคาของคุณกับสินค้าที่คล้ายกันแบบเรียลไทม์ ข้อมูลแสดงว่า:
- สินค้าที่มีราคาภายใน ±10% ของค่ามัธยฐานตลาดจะได้รับ 65% ของโอกาสในการแสดงผล
- สินค้าที่มีราคาสูงกว่าตลาด 15%จำนวนการแสดงผลลดลง 50%
- สินค้าที่ต่ำกว่าราคาตลาด 20%อาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสินค้าคุณภาพต่ำหรือของปลอม ทำให้การแสดงผลลดลง 30%
ตัวอย่าง: หูฟังไร้สายที่มีราคาตลาดเฉลี่ย $59.99:
- ตั้งราคา $54.99 (-8%) ได้รับการแสดงผล 8,500 ครั้งต่อวัน
- ตั้งราคา $59.99 (ราคาตลาด) ได้รับการแสดงผล 9,200 ครั้งต่อวัน
- ตั้งราคา $69.99 (+17%) การแสดงผลลดลงเหลือ 4,000 ครั้งต่อวัน
แนะนำให้ใช้เครื่องมือ Benchmarkingของ Google เพื่อตรวจสอบความผันผวนของราคาสินค้าคล้ายกันทุกสัปดาห์
กลยุทธ์ค่าขนส่ง
ค่าขนส่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ใช้ละทิ้งการสั่งซื้อ (คิดเป็น 28% ของการละทิ้งตะกร้า) การทดสอบแสดงว่า:
- สินค้าจัดส่งฟรีมี CTR เฉลี่ย 1.2% ขณะที่สินค้าที่มีค่าขนส่งมีเพียง 0.8%
- เมื่อค่าขนส่งเกิน 10% ของราคาสินค้า อัตราการแปลงลดลง 42%
- การรวมค่าขนส่งไว้ในราคาสินค้า (เช่น $29 พร้อมส่งฟรี เทียบกับ $25 + $4 ค่าขนส่ง) สามารถเพิ่มอัตราการแปลงได้ 18%
คำแนะนำในการปฏิบัติ:
- สินค้าราคาไม่เกิน $50: แนะนำให้จัดส่งฟรีโดยตรง (เนื่องจากต้นทุนค่าขนส่งสูงเกินไป)
- สินค้าราคา $50–100: ตั้งค่า “จัดส่งฟรีเมื่อสั่งซื้อมากกว่า $75” เพื่อกระตุ้นยอดการสั่งซื้อเฉลี่ย
- สินค้าราคาเกิน $100: ผลของค่าขนส่งมีน้อย สามารถเรียกเก็บได้
เลขลงท้ายของราคา
เลขลงท้ายของราคามีผลอย่างมากต่อสินค้าระดับกลางถึงล่าง (<$200):
- ลงท้ายด้วย .99: เหมาะสำหรับสินค้าราคาไม่เกิน $50 (เช่น $19.99 เทียบกับ $20 CTR สูงขึ้น 13%)
- ลงท้ายด้วย .95: เหมาะสำหรับสินค้าราคา $50–100 (เช่น $79.95 เทียบกับ $80 CTR สูงขึ้น 9%)
- ราคาจำนวนเต็ม: เหมาะสำหรับสินค้าหรูหรา (เช่น $200 CTR สูงกว่า $199.99 ถึง 5%)
ผลการทดสอบ A/B ของแบรนด์เสื้อผ้าแห่งหนึ่ง:
- $39.99: CTR 1.4%
- $40: CTR 1.2%
- $45: CTR 0.9%
วิธีแสดงราคาส่งเสริมการขายอย่างถูกต้อง
Google อนุญาตให้แสดงราคาส่งเสริมการขาย แต่ต้องปฏิบัติตามกฎต่อไปนี้:
- ราคาปกติต้องเป็นของจริง: ต้องมีการขายอย่างน้อย 1 ชิ้นในราคานั้นภายใน 30 วันที่ผ่านมา
- ระยะเวลาโปรโมชั่นต้องชัดเจน: “ลดราคาพิเศษ 7 วัน” มีอัตราการแปลงสูงกว่า “กำลังลดราคา” 22%
- ช่วงส่วนลด: ส่วนลด 20–30% ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด ส่วนลดเกิน 50% อาจถูกพิจารณาว่าหลอกลวง
ตัวอย่างการละเมิด: สินค้าชิ้นหนึ่งระบุว่า “ราคาปกติ $199 ลดเหลือ $99” แต่ไม่เคยขายในราคา $199 มาก่อน ทำให้โฆษณาถูกระงับ
กลยุทธ์การตั้งราคาหลายสกุลเงิน
เมื่อขายสินค้าข้ามประเทศ ควรคำนึงถึง:
- ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน: แนะนำให้อัปเดตราคาทุกสัปดาห์ หาก USD/EUR เปลี่ยนแปลงเกิน 3% ควรปรับราคา
- การตั้งราคาตามภูมิภาค: ตลาดเยอรมนียอมรับราคาที่สูงกว่าสหรัฐฯ ได้ 8–12%
- การแสดงผลตามท้องถิ่น: ในสหราชอาณาจักรควรใช้ “£” แทน “$” และราคาที่มีทศนิยมสองตำแหน่ง (£19.99) มี CTR สูงกว่าทศนิยมหนึ่งตำแหน่ง (£20) ถึง 7%
ตัวอย่างการเปรียบเทียบราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในแต่ละตลาด:
- สหรัฐฯ: $299 (CTR 1.1%)
- สหราชอาณาจักร: £259 (≈$315, CTR 0.9%)
- เยอรมนี: €279 (≈$305, CTR 1.0%)
3.6 ความถี่ที่ดีที่สุดในการอัปเดตราคา
ผลการทดสอบแสดงว่า:
- การปรับเล็กน้อยรายสัปดาห์ (±3%)ให้ผลดีกว่าการปรับใหญ่รายเดือน 15%
- สินค้าตามฤดูกาล: ปรับราคาก่อนฤดูกาลขาย 2 สัปดาห์ (เช่น ของขวัญคริสต์มาสเริ่มปรับขึ้นต้นเดือนพฤศจิกายน)
- สินค้าล้างสต็อก: ลดราคาทีละ 10% ต่อสัปดาห์ขายได้มากกว่าการลดครั้งเดียว 30% ถึง 22%
การทดลองปรับราคาของแบรนด์เครื่องใช้ในบ้านแห่งหนึ่ง:
- ปรับราคาสินค้าหลัก 5–8 รายการทุกวันพุธ
- การปรับแต่ละครั้งไม่เกิน 5%
- หลังจาก 6 เดือน CTR เพิ่มขึ้น 19% อัตราการแปลงเพิ่มขึ้น 12%
เทคนิคการตั้งราคาขายแบบชุด
การตั้งราคาขายแบบชุดช่วยเพิ่มยอดสั่งซื้อเฉลี่ย:
- รุ่นพื้นฐาน + อุปกรณ์เสริม: กล้อง ($399) + ขาตั้งกล้อง ($50) = ราคาชุด $429 (ยอดขายเพิ่มขึ้น 28%)
- ส่วนลดสำหรับหลายชิ้น: เสื้อยืดชิ้นละ $25 ซื้อ 3 ชิ้น $60 (ยอดสั่งซื้อเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 40%)
- กลยุทธ์ของแถม: ซื้อโทรศัพท์ แถมเคส $20 (อัตราการแปลงสูงกว่าการลดราคา $20 โดยตรง 15%)
ข้อมูลแสดงว่าการแสดงข้อความ “ประหยัด $X”ได้ผลดีกว่าการเขียนว่า “ชุดสุดคุ้ม”:
- “ประหยัด $20” มี CTR สูงกว่า “ชุดสุดคุ้ม” 33%
- การใช้ตัวเลขที่แน่นอน (“ประหยัด $15.5”) ดูน่าเชื่อถือกว่าการปัดเศษ (“ประหยัด $16”)
เพื่อให้โฆษณา Google Shopping มีประสิทธิภาพ รูปภาพต้องชัดเจน ชื่อสินค้าต้องแม่นยำ และราคาต้องเหมาะสม




