เราทดสอบล่าสุดพบว่า วิธีการส่ง sitemap แบบเดิมหรือการ push URL ด้วยมือ ตอนนี้ภายใต้ระบบการ crawl แบบ deep neural network ของ Google ที่เปิดตัวในปี 2024 ความเร็วในการ index ลดลงถึง 40%
แต่ถ้าปรับโครงสร้างเทคโนโลยีและกลยุทธ์คอนเทนต์ให้เหมาะสม ก็ยังสามารถทำให้หน้าใหม่ๆ ถูก index ภายใน 3 วันได้จริง

Table of Contens
Toggleตั้งค่าพื้นฐานเว็บไซต์ให้ถูกต้อง เพื่อให้ Bot เข้ามาเก็บข้อมูลได้ง่าย
47% ของหน้าใหม่ที่ index ช้า มาจากปัญหาการตั้งค่าเว็บไซต์ผิดพลาด ระบบ crawl ของ Google หลังอัปเดตปี 2024 ทนต่อข้อผิดพลาดด้านเทคนิคได้น้อยลงถึง 30%
ไฟล์ robots.txt ที่ตั้งค่าผิด หรือโครงสร้างเมนูที่ซับซ้อน อาจทำให้หน้าเว็บถูกแบนจากการ crawl ได้เลย
เราทดสอบพบว่า เว็บไซต์ที่ปรับปรุงโครงสร้างดี หน้าใหม่ๆ ใช้เวลา index เฉลี่ย 5.2 วัน เหลือแค่ 2.3 วัน โดยเฉพาะหน้าเว็บที่ทำ internal link ดีๆ เพิ่มประสิทธิภาพการ crawl ได้ถึง 160%
ตรวจสอบและปรับ robots.txt ให้เหมาะสม
สาเหตุหลัก : 30% ของเว็บไซต์ block หน้าโดยไม่ตั้งใจ เช่น Disallow: /?* ทำให้หน้า dynamic ถูก block
ขั้นตอนแก้ไข :
- ใช้ เครื่องมือทดสอบ robots.txt เช็คการตั้งค่า
- ลบกฎ wildcard ที่ไม่จำเป็นออก เช่น
Disallow: */pdf - โฟลเดอร์สำคัญ เช่น /admin แนะนำให้ใช้ whitelist IP แทนการ block bot
ข้อควรระวัง : ห้าม block ไฟล์ CSS/JS เด็ดขาด เพราะส่งผลต่อการแสดงผลหน้าเว็บ
ปรับโครงสร้างเมนูและ internal link ให้ดีขึ้น
สูตร 3 ชั้น :
- เมนูหลักควรมีหมวดสำคัญครบ ไม่เกิน 7 รายการ
- Sidebar มี module “บทความใหม่ล่าสุด” ช่วยนำ bot มา
- ทุกๆ 300 คำในเนื้อหา ควรแทรกลิงก์ภายใน 1 ลิงก์ (anchor text ต้องมี keyword)
เคสจริง : เว็บขายของบางแห่ง เพิ่ม “สินค้าขายดีที่เกี่ยวข้อง” ในหน้าสินค้า ทำให้ bot มาเก็บบ่อยขึ้น 90%
จัดการโครงสร้าง URL และพารามิเตอร์ให้ถูกต้อง
วิธีทำจริง :
- ใช้ URL แบบ static เช่น
/category/seo-tips/ดีกว่า/index.php?id=123 - บังคับให้ URL เป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด ป้องกันการซ้ำซ้อน เช่น /page/ กับ /Page/
- ตั้งค่า ignore พารามิเตอร์พวก sort ใน GSC เช่น ?color=red&size=large
เครื่องมือแนะนำ : ใช้ Screaming Frog ตรวจสอบ URL ซ้ำ
ใช้เครื่องมือ Google Search Console ให้เป็นประโยชน์
เทคนิคเร่ง index แบบจัดเต็ม :
- ส่ง URL ทันที หลังโพสต์หน้าใหม่ โดยไปที่ “ตรวจสอบ URL” → “ขอ index”
- เช็ค coverage ทุกสัปดาห์ export รายการ “ถูกยกเว้น” แก้ไขหน้า 404 และ soft 404 ก่อน
- ส่ง sitemap โดยใส่เฉพาะหน้าที่เผยแพร่ใน 30 วันล่าสุด ป้องกัน sitemap เก่าแย่ง crawl budget
สถิติ : หน้าเว็บที่ส่งเอง index เร็วกว่าปล่อย bot มาเองเฉลี่ย 16 ชั่วโมง
ปรับคุณภาพคอนเทนต์และจังหวะโพสต์ให้เหมาะสม
เราพบว่าการโพสต์บทความสัปดาห์ละ 10 บทความ แต่ลงทีเดียว ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่ อัตรา index แค่ 61%
ถ้าเปลี่ยนมาโพสต์วันละ 2 บทความ และปรับ keyword ดีๆ อัตรา index กระโดดเป็น 89%
เขียนบทความให้ตรงกับสิ่งที่คนค้นหา
วิธีเจาะลึกความต้องการผู้ใช้ :
- ใช้ Ahrefs ฟังก์ชัน Content Gap หา keyword ที่คู่แข่งติดอันดับ แต่เรายังไม่มี
- วิเคราะห์ featured snippet ของ Google หา keyword คำถามยาวๆ
- 5 ย่อหน้าแรกของบทความ ต้องมี “คำถามหลัก + วิธีแก้ + วิธีลงมือทำ”
ตัวอย่างจริง : เว็บเครื่องมือแห่งหนึ่งเพิ่ม “ตารางเปรียบเทียบ” ช่วยลด bounce rate ลง 32% และ index เร็วขึ้น 2.1 วัน
ปรับความถี่การโพสต์ให้เหมาะกับเว็บไซต์
แนวทางโพสต์ตามความแข็งแกร่งของเว็บ :
- เว็บใหม่ (DA<5) : วันละ 1-2 บทความ (กัน bot overload)
- เว็บกลาง (DA 5-30) : วันละ 3-4 บทความ (ควรมี backlink ควบคู่ด้วย)
- เว็บใหญ่ (DA>30) : วันละ 5 บทความขึ้นไป (ควรใช้ server prerendering)
สถิติจริง : เว็บที่โพสต์เกินวันละ 5 บทความ crawl budget efficiency ลดลง 47%
เทคนิคใส่ keyword ใน 300 คำแรกให้ถูกต้อง
สูตร 4 ขั้นตอน :
- Title ต้องมี keyword หลัก (ไม่เกิน 60 ตัวอักษร)
- 2 ประโยคแรกของบทความ ใส่คำบรรยายสถานที่ + สถานการณ์ เช่น “คู่มือเช่าคอนโดกรุงเทพ 2024”
- ใช้ประโยคคำถามดึง long-tail keyword เช่น “จะผ่าน background check เร็วๆ ได้ยังไง?”
- ใส่คำกระตุ้นการคลิก เช่น “ขั้นตอน”, “เช็กลิสต์”, “รีวิว” ในเนื้อหา
เครื่องมือแนะนำ : ใช้ Surfer SEO ตรวจ keyword density และตำแหน่งแบบเรียลไทม์
สร้างบทความที่มีคุณค่าเพิ่ม
3 วิธีแก้ปัญหา duplicate content :
- เพิ่มข้อมูลเฉพาะ เช่น ใช้ bot ดึงราคาคู่แข่งมาแสดงเป็นกราฟ
- ทำเครื่องมือ interactive เช่น “คำนวณงบตกแต่งบ้าน” แทนคำอธิบายธรรมดา
- ถ่ายภาพเองจากสถานที่จริง (index เร็วกว่ารูปจาก stock ประมาณ 19 ชั่วโมง)
ข้อควรระวัง : หลีกเลี่ยงการยัดเนื้อหาซ้ำในส่วน “สเปกสินค้า” หรือ “เกี่ยวกับเรา”
แนวทางทำ backlink ที่ได้ผลจริง
สิ่งสำคัญของ backlink ไม่ใช่ “จำนวน” หรือ “DA สูง” แต่คือ “ต้อง index ได้จริง”
เราตรวจสอบ backlink 2,000 รายการ พบว่าถ้า Google ยังไม่ index แม้ DA สูงถึง 50 ก็ไม่ช่วยอันดับเลย แต่ถ้า index ได้ แม้ DA แค่ 1 ก็ส่งผลดีต่ออันดับชัดเจน
หลังอัปเดตปี 2024 การทำ backlink ต้องยึดหลัก “เน้นปริมาณก่อน แต่ต้อง index ได้จริง”
เว็บที่เพิ่ม backlink ราคาถูกแบบ index ได้ วันละ 20-50 รายการ โตเร็วกว่าเว็บที่ทำ DA สูงแค่เดือนละ 10 backlink ถึง 3 เท่า
แผนแก้ไขด่วนใน 20 นาที:
- ใช้ Schema Markup Generator สร้างโค้ด
- ตรวจสอบความถูกต้องของโค้ดด้วย Rich Results Test
- แทรกโค้ด
JSON-LDไว้ที่ต้นบทความ (ให้ความสำคัญมากกว่าMicrodata)
ตัวอย่าง: เว็บไซต์ข่าวแห่งหนึ่ง เพิ่มประสิทธิภาพ NewsArticle แล้ว ยอดแสดงผลการ์ดข่าวเพิ่มขึ้น 120%
วิธีแก้ปัญหาสำหรับหน้าเว็บที่เรนเดอร์แบบไดนามิก
เปรียบเทียบ 2 วิธีแก้ปัญหา:
วิธีพรีเรนเดอร์ (เหมาะกับเว็บไซต์ขนาดเล็กถึงกลาง):
- ติดตั้ง Puppeteer หรือ Prerender.io เพื่อสร้าง snapshot แบบ static
- ตั้งค่า parameter
_escaped_fragment_ให้ crawler รู้จัก
วิธีเรนเดอร์แบบผสม (เหมาะกับเว็บไซต์ขนาดใหญ่):
- ใช้ Next.js หรือ Nuxt.js ทำ Server-side Rendering (SSR)
- ตั้งค่า
rendertronmiddleware เพื่อสลับคำขอจาก crawler อัตโนมัติ
คำเตือน: ห้ามใช้ meta noindex เพื่อบล็อกหน้าไดนามิก ควรจัดการผ่าน URL ให้ถูกต้องแทน
3 จุดสำคัญในการเพิ่มความเร็วหน้าเว็บ
แนวทางเพิ่มความเร็วแบบเจาะจง:
First Contentful Paint (FCP):
- ตัดฟอนต์ third-party ออก ใช้ฟอนต์ระบบแทน
- ทำ CSS ที่จำเป็นสำหรับหน้าจอแรกให้เป็น inline เพื่อลด HTTP request
Largest Contentful Paint (LCP):
- ตั้งค่า
loading="eager"ให้โหลดภาพหลักทันที - แปลงรูปภาพเป็น WebP เพื่อลดขนาดไฟล์ลงประมาณ 65%
Cumulative Layout Shift (CLS):
- สำรองพื้นที่สำหรับโฆษณาและ popup ล่วงหน้า
- ใช้ property
aspect-ratioเพื่อคงสัดส่วนสื่อ
เครื่องมือแนะนำ: หน้าเว็บที่ได้คะแนน Lighthouse ต่ำกว่า 90 ควรรีบปรับปรุงก่อน
เทคนิคการรองรับมือถือแบบมืออาชีพ
เว็บไซต์มือถือแยกต่างหาก vs ออกแบบแบบ Responsive:
เว็บไซต์ใหม่ต้องใช้ Responsive Layout เท่านั้น (ป้องกันปัญหาคอนเทนต์แยกโดเมนแล้ว crawler สับสน)
เว็บไซต์ที่มีเวอร์ชันมือถือแยกอยู่แล้ว ต้องตั้งค่า:
เพิ่ม response header Vary: User-Agent
เพิ่มโค้ดนี้ในหน้า desktop:
<link rel="alternate" media="only screen and (max-width: 640px)" href="m.example.com">
ปรับประสบการณ์การสัมผัสบนหน้าจอ:
- ขนาดปุ่มต้องไม่น้อยกว่า 48px และระยะห่างต้องไม่น้อยกว่า 8px (ลดการกดผิด เพิ่มเวลาการใช้งาน)
- ห้ามมี scroll แนวนอน (หากเกิดเกิน 15% จะส่งผลเสียต่อคะแนน Mobile-Friendly)
การตรวจสอบข้อมูลและปรับกลยุทธ์
คู่มือวิเคราะห์ log ของ crawler แบบเจาะลึก
ข้อมูลสำคัญที่ควรดึง:
- ใช้ Screaming Frog Log File Analyzer วิเคราะห์ log server
- กรอง record การเข้าถึงของ Googlebot (User Agent ที่มีคำว่า Googlebot)
- สรุป page type ที่ crawler เข้าถึงบ่อยที่สุด 10 อันดับแรก
เกณฑ์การตัดสินใจ:
Directory ที่มีการ crawl น้อย: เพิ่ม internal link หรือส่ง sitemap เพิ่มเติม
หน้า low-value ที่ถูก crawl บ่อย (เช่น หน้า tag): เพิ่ม nofollow หรือทำ canonical tag
4 ขั้นตอนตรวจสอบหน้าเว็บที่ไม่ติด index
ขั้นตอนตรวจสอบ:
- เปิดรายงาน Index Coverage ใน GSC กรองหน้า “ส่งแล้วแต่ยังไม่ติด index”
- ตรวจสอบ HTTP status ของหน้า (ตัดหน้า 404/5xx ออกก่อน)
- ใช้ Ahrefs Tool ตรวจสอบว่าคอนเทนต์ซ้ำกันเกิน 70% หรือไม่ ถ้าใช่ ควรเขียนใหม่
- เช็ค crawl depth ของหน้า (ถ้า redirect เกิน 3 ชั้น ต้องเปลี่ยนเป็นลิงก์ตรง)
ตัวอย่าง: ร้านค้าออนไลน์แห่งหนึ่งลดจำนวน redirect ของหน้าสินค้า ทำให้ index rate เพิ่มจาก 52% เป็น 89% ภายใน 7 วัน
ปรับ crawl budget แบบยืดหยุ่น
สูตรคำนวณความสำคัญ: (Traffic value ของหน้า × 0.6) + (ความถี่อัปเดตเนื้อหา × 0.4) = คะแนนความสำคัญของการ crawl
- คะแนน ≥ 80: crawl ทุกวัน (เช่น หน้าโปรโมชัน หรือหน้าสินค้าหลัก)
- คะแนน 40-79: crawl สัปดาห์ละ 3 ครั้ง (เช่น บทความ blog)
- คะแนน < 40: crawl เดือนละครั้ง (เช่น หน้าเกี่ยวกับบริษัท)
เครื่องมือที่ใช้:
- ตั้ง priority ใน Google Search Console
- ใช้ Botify ปรับโครงสร้าง internal link อัตโนมัติ
ปรับกลยุทธ์คอนเทนต์แบบเรียลไทม์
วิธีปรับปรุงจากข้อมูลจริง:
ติดตามรอบ index: ถ้าหน้าไหนยังไม่ติด index ภายใน 72 ชั่วโมง ให้ดำเนินการทันที:
- เพิ่ม internal link จากหน้า authority อย่างน้อย 2 ลิงก์
- โพสต์ซ้ำบน social media พร้อม UGC หรือ Q&A เพื่อกระตุ้นการ crawl ซ้ำ
ปรับปรุง long-tail keyword: คัด keyword จาก GSC ที่ “impression > 1000 แต่ CTR < 2%” มาวางเพิ่มในหน้าให้ดูเป็นธรรมชาติ (ทำสัปดาห์ละ 3 คำ)คำเตือน: ห้ามเปลี่ยน title หน้าเก่าแบบยกชุดหรือ mass delete เนื้อหาเยอะ ๆ (เสี่ยงติด sandbox)
เมื่อคุณช่วยให้ Google เจอเนื้อหาคุณได้ง่ายและคุ้มค่า มันก็จะ index และจัดอันดับได้เร็วขึ้นโดยอัตโนมัติ
เกณฑ์การคัดเลือก Backlink ที่มีประสิทธิภาพ
การตรวจสอบการจัดทำดัชนี:
- คัดลอก URL ของ Backlink ไปวางใน Google แล้วค้นหาแบบใส่เครื่องหมายคำพูด (เช่น “https://example.com/link-page“)
- หากไม่พบผลลัพธ์ ใช้เครื่องมือตรวจสอบการจัดทำดัชนีแบบกลุ่มเพื่อสแกน
มาตรฐานการดำเนินการ:เก็บเฉพาะลิงก์ที่ได้รับการจัดทำดัชนี หากช่องทาง Backlink ไหนมีอัตราถูกปฏิเสธเกิน 30% ให้หยุดใช้งานทันที
กลยุทธ์สร้าง Backlink ที่คุ้มค่าราคา
วิธีการผลิตจำนวนมากต้นทุนต่ำ:
ลายเซ็นในฟอรัมอุตสาหกรรม:โพสต์กระทู้เทคนิคอย่างน้อย 5 กระทู้ในบอร์ดที่ DA > 1 โดยแนบลิงก์เว็บไซต์แบบเปล่า
ไดเรกทอรีสมาคมการค้าท้องถิ่น:ลงทะเบียนเป็น “สมาชิกสมาคมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เมือง XX” เพื่อรับลิงก์หน้าจัดแสดงที่ลงท้ายด้วย .gov.cn
ซื้อ Backlink จากเว็บไซต์อิสระ:เลือกซื้อ Backlink จากเว็บไซต์ที่มีธีมหลากหลายและ DA > 1 เพื่อเพิ่มคะแนนโดเมน โดยควบคุมต้นทุนต่อเส้นไม่เกิน 80 หยวน
ผลลัพธ์ที่ทดสอบจริง:เว็บไซต์ที่เพิ่ม Backlink แบบนี้วันละ 40 ลิงก์ พบว่าอัตราการ Crawl เพิ่มขึ้น 120% ภายใน 30 วัน
การตั้งค่า Anchor Text ป้องกันการถูกลงโทษ
โมเดลสัดส่วนปลอดภัย:
- 60% ใช้คำแบรนด์ (เช่น “XX Official” หรือ “คลิกเข้าสู่เว็บไซต์ทางการ”)
- 30% ใช้คำทั่วไป (เช่น “ดูเพิ่มเติม” หรือ “เยี่ยมชมหน้า”)
- 10% ใช้คำ Long-tail (เช่น “รายงานข้อมูลปี 2024” หรือ “สมุดปกขาวอุตสาหกรรม”)
เส้นแดงที่เสี่ยงสูง:หาก Anchor Text คำเดียวกันมีสัดส่วนเกิน 15% จะมีความเสี่ยงโดนอัลกอริธึมตรวจจับทันที
ตัวอย่าง:เว็บไซต์เครื่องมือแห่งหนึ่งซื้อ Backlink จากเว็บไซต์การศึกษาท้องถิ่น DA=3 จำนวน 500 ลิงก์ในราคา 55 หยวนต่อลิงก์ ทำให้อันดับคำหลักดีขึ้น 27 อันดับภายใน 3 สัปดาห์
เทคนิคดันเว็บผ่านโซเชียลมีเดีย
จุดแข็งของโซเชียลมีเดียไม่ใช่แค่เพิ่มทราฟฟิกเท่านั้น แต่ยังช่วยส่งสัญญาณ “ความเคลื่อนไหวของเนื้อหา” ไปยัง Google ด้วย
โพสต์ที่ถูกแชร์ไวบน Twitter หรือ Reddit อาจทำให้ Googlebot มาเก็บข้อมูลภายใน 15 นาที
จากการทดสอบจริง หน้าใหม่ที่กระจายผ่านโซเชียลมีเดีย มีอัตราถูกจัดทำดัชนีใน 72 ชั่วโมงสูงถึง 92% ขณะที่การรอ Crawl แบบธรรมดาอยู่แค่ 64%
3 ขั้นตอนสำคัญในการโพสต์ Twitter ให้ Googlebot มาเร็ว
สูตรลับเรียก Bot ให้มาหา:
- แนบ URL พร้อมใส่ Hashtag ที่ Googlebot ติดตามบ่อย เช่น
#GoogleNewsหรือ#SEO - โพสต์เสร็จให้ Tag หรือ Mention อินฟลูเอนเซอร์หรือสื่อดังทันที เช่น @SearchEngineLand เพื่อเรียก Interaction
- ใช้ Buffer ตั้งเวลาโพสต์ซ้ำ 3 รอบ ห่างกัน 2 ชั่วโมง โดยเปลี่ยนข้อความ 10%
ตัวอย่าง:บล็อกเทคโนโลยีแห่งหนึ่งใช้วิธีนี้ โปรโมทบทความใหม่จน Google จัดทำดัชนีภายใน 5 ชั่วโมง
เทคนิคดึงคนผ่านบทความ LinkedIn
เทมเพลตโพสต์สำหรับบัญชีธุรกิจ:
หัวข้อ: แนวรายงานอุตสาหกรรม (เช่น “5 เทรนด์การตลาด AI ปี 2024”)
เนื้อหา: 3 ย่อหน้าแรกแนบกราฟหรือแผนภูมิ (ใส่ลายน้ำเว็บทางการในภาพ) ท้ายบทความแนบลิงก์ “อ่านรายงานฉบับเต็ม”
เวลาโพสต์: ช่วง 8:00 – 10:00 น. ตามเวลา Pacific (ช่วงพีคของอัลกอริธึม LinkedIn)
ผลลัพธ์จากข้อมูลจริง:โพสต์ที่มีกราฟแนบมีอัตราคลิกสูงกว่าโพสต์ข้อความล้วนถึง 3 เท่า และใช้เวลาถูกจัดทำดัชนีเร็วขึ้น 11 ชั่วโมง
กลยุทธ์ปั้นกระแสใน Reddit
กฎโพสต์แบบปลอดภัย:
- เลือก Subreddit ที่ตรงกับเนื้อหาสุดๆ (เช่น r/webdev สำหรับแชร์บทเรียนเทคนิค)
- ตั้งกระทู้ในรูปแบบ “ถาม-ตอบ” เช่น “ขอคำแนะนำ: จะแก้ปัญหา XX ยังไง?” แล้วแอบแนบลิงก์ไว้ในเนื้อหา
- ใช้บัญชีสำรองคอมเมนต์ตอบใน 10 นาที เช่น “ขอบคุณที่แชร์! บนเว็บมีขั้นตอนละเอียดเลย” เพื่อเพิ่มลิงก์อีกทาง
คำเตือน:1 บัญชีโพสต์ได้ไม่เกิน 2 กระทู้ต่อสัปดาห์ ป้องกันถูกระบบมองว่าเป็นสแปม
เทคนิคดึงทราฟฟิกผ่านภาพใน Pinterest
กฎเหล็กการปรับแต่งรูปภาพ:
ขนาด: เลือกรูปแนวตั้ง (อัตราส่วน 2:3 ความละเอียด 1000×1500px)
ข้อความบนภาพ: มุมซ้ายล่างใส่คำเรียกร้อง เช่น “Step-by-Step Guide”
การตั้งค่าลิงก์: ใส่ Shortlink ในคำอธิบาย Board ไม่ใช่ ALT Text ของภาพ
ผลการทดสอบ:โพสต์ภาพที่ทำตามสูตรนี้เฉลี่ยดึง Googlebot ได้ 3.7 ครั้งต่อภาพ มากกว่าลิงก์ธรรมดาถึง 80%
เทคนิค SEO ด้านเทคนิคเชิงลึก
จากการทดสอบปี 2024 พบว่า หน้าเว็บที่มีปัญหาการ Render Block หรือ Schema ผิดพลาด ใช้เวลาถูกจัดทำดัชนีเฉลี่ย 6.8 วัน
แต่หน้าเว็บที่ปรับปรุงเทคนิคดีแล้ว ใช้เวลาแค่ 1.9 วัน
เช่น หน้าเว็บที่ไม่ได้ใส่ Article Schema อย่างถูกต้อง มีโอกาสถูกตัดออกจาก Rich Result สูงถึง 73%
วิธีติดตั้ง Schema Markup อย่างถูกต้อง
เช็กลิสต์ข้อผิดพลาดบ่อย:
- ใช้ Schema Type ผิด เช่น ใช้
ProductแทนArticle - ขาดฟิลด์สำคัญ เช่น ไม่กรอก
datePublished - ฟอร์แมตข้อมูลผิด เช่น Timestamp ไม่เป็นรูปแบบ ISO 8601




