微信客服
Telegram:guangsuan
电话联系:18928809533
发送邮件:xiuyuan2000@gmail.com

สาขาหลายแห่งใช้เว็บไซต์เดียวกัน|Google จะถือว่าเป็นเนื้อหาซ้ำหรือไม่

本文作者:Don jiang

กรณีที่หลายสาขาใช้เว็บไซต์เดียวกัน

Table of Contens

หลายสาขาใช้เว็บไซต์เดียวกัน จะถูกมองว่าเป็นเนื้อหาซ้ำหรือไม่?

สำหรับแบรนด์แฟรนไชส์ การที่แต่ละสาขาใช้เว็บไซต์หลักร่วมกันเป็นเรื่องปกติ แต่ผู้ประกอบการหลายคนกังวลว่า ถ้าหน้าเว็บเหมือนกันเกือบหมด แค่เปลี่ยนเบอร์โทรหรือที่อยู่ Google จะคิดว่าเป็น “เนื้อหาซ้ำ” แล้วทำให้อันดับ SEO แย่ลงไหม?

จริง ๆ แล้ว อัลกอริทึมของ Google ไม่ได้ตัดสินแค่จากการก็อปปี้ข้อความแบบเป๊ะ ๆ เท่านั้น ถ้าแต่ละหน้าของสาขามีข้อมูลเฉพาะ เช่น พื้นที่ให้บริการ รีวิวจากลูกค้าในพื้นที่ หรือคีย์เวิร์ดท้องถิ่น Google อาจจะมองว่าเป็น “ความคล้ายกันที่สมเหตุสมผล”

หัวใจสำคัญคือการบาลานซ์ระหว่างความสม่ำเสมอของแบรนด์ กับเนื้อหาที่มีความเฉพาะตัว

Google มองว่า “เนื้อหาซ้ำ” คืออะไร?

  • ซ้ำแบบ 100%: เนื้อหา รูปภาพ โครงสร้างหน้าเว็บเหมือนกันเป๊ะทุกอย่าง (เช่น คัดลอกจากหน้าสาขา A มาใช้กับสาขา B);
  • คล้ายแต่พอรับได้: ใช้โครงสร้างเดียวกันแต่มีข้อมูลเฉพาะของสาขานั้น เช่น ที่อยู่ รีวิว หรือกิจกรรมในพื้นที่;
  • ความเสี่ยงต่ำ: เปลี่ยนแค่เบอร์โทรหรือที่อยู่ แต่ยังมีข้อมูลแผนที่ การเดินทาง หรือบริการเฉพาะพื้นที่ที่แตกต่างกัน

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในหน้าสาขา

  1. กรณีที่ 1: ชื่อหน้าของทุกสาขาใช้คำว่า “XX แบรนด์|ทุกสาขาทั่วประเทศ” โดยไม่มีชื่อจังหวัดหรือเขตเลย;
  2. กรณีที่ 2: แค่เปลี่ยนชื่อเมือง ส่วนที่เหลือของเนื้อหายังเหมือนเดิมทุกบรรทัด (เช่น “เรารอคุณที่สาขากรุงเทพ” vs “เรารอคุณที่สาขาเชียงใหม่”);
  3. กรณีที่ 3: ไม่ได้ตั้งค่า Canonical tag ให้ถูกต้อง ทำให้ Google มองว่าเป็นหน้าซ้ำกัน

แนวทางที่ปลอดภัยในการสร้างหน้าเว็บแต่ละสาขา

  • ชื่อหน้าเว็บต้องชัดเจน: ใส่ชื่อเขต+บริการหลัก (ตัวอย่าง: “ศูนย์ซ่อมรถ XX|สาขาสีลม กรุงเทพฯ”);
  • มีเนื้อหาเฉพาะพื้นที่: ใส่ข้อมูลท้องถิ่นให้ได้อย่างน้อย 300 คำ (เช่น แหล่งชุมชนใกล้เคียง คำถามพบบ่อยในพื้นที่);
  • ตั้งค่าทางเทคนิค: หน้าเทมเพลตหลักให้ตั้ง Canonical ไปยังหน้าโฮม ส่วนหน้าสาขาไม่ต้องตั้ง

แล้วสาขาจะมาแย่งอันดับกันเองไหม?

หลายคนคิดว่า “แค่เปลี่ยนชื่อเมืองในเทมเพลตก็พอ” — ความจริงวิธีนี้เสี่ยงมาก

Google อาจมองว่าหลาย ๆ หน้าไม่มีคุณค่าเฉพาะ ส่งผลให้เกิดการแย่งอันดับกันเองในผลการค้นหา

ความเสี่ยงที่ 1: สาขาแย่งกันติดอันดับ, คนค้นหากระจาย

  • ตัวอย่าง: ฟิตเนสเชนแห่งหนึ่งตั้ง 10 หน้าให้ติดคีย์เวิร์ด “คลาสโยคะ” เหมือนกัน ผลคือมีแค่สาขาหลักติดหน้าแรก ส่วนที่เหลือหลุดหมดเพราะเนื้อหาซ้ำ;
  • ข้อมูลจาก Semrush: ถ้าหน้าคล้ายกันมากและใช้คีย์เวิร์ดเดียวกัน Google จะเลือกแค่หน้าที่ให้ข้อมูลละเอียดและผู้ใช้อยู่ในหน้านานกว่า ส่วนที่เหลืออันดับตก 20–40%

ความเสี่ยงที่ 2: UX แย่ ลูกค้าหลุดก่อนซื้อ

  • ประสบการณ์ผู้ใช้ไม่ดี: ค้นหา “ศูนย์ซ่อมรถ เขตบางนา” แต่คลิกแล้วพาไปหน้าเว็บสำนักงานใหญ่ ต้องหาลิงก์ไปหน้าสาขาเอง → คนกว่า 30% เลิกดู;
  • ความเสียหายแฝง: ถึงจะมีหน้าสาขาแต่ถ้าไม่มีคำว่า “บางนา” หรือชื่อถนนในหัวข้อ คนก็เข้าใจผิดคิดว่าไม่ใช่สาขาใกล้ตัว → bounce rate พุ่งเกิน 50%

ความเสี่ยงที่ 3: ถูก Google มองว่า “เนื้อหาคุณภาพต่ำ”

  • อัลกอริทึมของ Google: Google จะตรวจเข้มเป็นพิเศษถ้าเนื้อหาซ้ำกันในเว็บเดียวกัน ถ้าหน้าสาขาซ้ำกันเกิน 80% อาจถูกลดอันดับหรือไม่ index เลย;
  • ผลกระทบต่อเนื่อง: เว็บหลักโดนลดคะแนน trust ทั้งระบบ คีย์เวิร์ดหลักอันดับหล่น (เช่น เว็บคลินิกแห่งหนึ่งหล่นจากอันดับ 3 เหลือ 15 เพราะหน้าสาขาซ้ำกันหมด)

3 วิธีประหยัดงบ แก้ปัญหาเนื้อหาซ้ำแบบไม่ต้องยกเครื่องเว็บ

หลายคนเข้าใจผิดว่าแก้เนื้อหาซ้ำต้องสร้างโดเมนใหม่ หรือแยกซับโดเมนสำหรับทุกสาขา — จริง ๆ แล้วแค่ปรับเนื้อหาบางจุดกับตั้งค่าบางอย่างก็เพียงพอ

วิธีที่ 1: ทำเทมเพลตเฉพาะสำหรับหน้าสาขา

แนวคิด: ใช้ธีมหลักร่วมกันได้ เช่น เมนู สีแบรนด์ แต่ต้องมีส่วนที่เขียนเฉพาะสาขาเท่านั้น

สิ่งที่ควรทำ:

  1. เพิ่ม “โมดูลข้อมูลพื้นที่” เช่น แผนที่ครอบคลุมพื้นที่ บริการในโซน รีวิวจากลูกค้าใกล้เคียง;
  2. แต่ละสาขามี FAQ ไม่เหมือนกัน (สาขาสาทร → “รับจองแบบนิติบุคคลไหม?” / สาขารังสิต → “วันหยุดเปิดไหม?”)

ต้นทุน: ใช้ระบบ CMS เช่น WordPress ทำได้ง่าย ไม่ต้องเขียนโค้ดใหม่ ประหยัดงบ

วิธีที่ 2: ปรับแต่งคอนเทนต์ให้มี “กลิ่นท้องถิ่น” 3 จุด

  • จุดที่ 1: ชื่อหน้า/คำอธิบาย meta ต้องใส่ชื่อจังหวัด + ย่าน + จุดสังเกต (ตัวอย่าง: “ติวเตอร์ภาษาอังกฤษ|สาขาพญาไท ใกล้ BTS สะพานควาย”);
  • จุดที่ 2: ใส่ชื่อพื้นที่ คำเรียกเฉพาะท้องถิ่นลงในย่อหน้าแรก 200 ตัวอักษร เช่น “ศูนย์อาหาร Union Mall ที่วัยรุ่นลาดพร้าวนิยม”;
  • จุดที่ 3: ใช้รูปภาพจริงของสาขานั้น ไม่ใช้ stock photo พร้อม metadata (EXIF) ที่มี location

เครื่องมือแนะนำ: Canva ช่วยทำภาพปก/ป้ายแบนเนอร์แต่ละสาขาง่าย ๆ แทบไม่เสียเงิน

วิธีที่ 3: ใช้ Structured Data (Schema Markup) บอก Google อย่างชัดเจน

ผลลัพธ์: Google จะรู้ทันทีว่าแต่ละหน้าเป็นของ “สาขาแยกกัน” ไม่ใช่หน้าเนื้อหาซ้ำ → ไม่โดนลดอันดับ
ขั้นตอนที่ชัดเจน

  1. เพิ่ม Schema ประเภท LocalBusiness ลงในส่วน <head> ของหน้าเว็บสาขา พร้อมกรอกที่อยู่ เบอร์โทร และเวลาเปิด-ปิดให้ครบถ้วน;
  2. เพิ่ม meta tag “พื้นที่ให้บริการ” ของสาขา (ตัวอย่าง:<meta name="service-area" content="เขตซวีฮุ่ย เซี่ยงไฮ้">);
  3. ใช้ เครื่องมือตรวจสอบข้อมูลแบบมีโครงสร้างของ Google เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของ Schema ที่ใส่เข้าไป

ตัวอย่างโค้ด (แบบย่อ)

<script type="application/ld+json">  
{  
  "@context": "https://schema.org",  
  "@type": "AutomotiveBusiness",  
  "name": "ศูนย์บริการรถยนต์ XX|สาขาผู่ตง เซี่ยงไฮ้",  
  "address": { /* ที่อยู่โดยละเอียด */ },  
  "geo": { /* ละติจูดและลองจิจูด */ },  
  "priceRange": "฿฿"  
}  
</script>  

ปรับหน้าเว็บสาขาแบบนี้ ทำให้ทราฟฟิกเพิ่มขึ้น 200%

กรณีศึกษา: แบรนด์การศึกษาสาขาหนึ่งเพิ่มทราฟฟิกจาก 0 → 200% ได้อย่างไร

พื้นหลัง: มีทั้งหมด 20 สาขาทั่วประเทศ ใช้เทมเพลตรูปแบบเดียวกันทั้งหมด แค่เปลี่ยนชื่อเมืองเท่านั้น อัตราการออกจากหน้าเกิน 80% ไม่มีการเข้าชมจาก SEO เลย

แนวทางหลัก:

  1. เพิ่ม Q&A สำหรับผู้ปกครองในแต่ละพื้นที่ เช่น: “คำถามที่พบบ่อยของผู้ปกครองในเขตไห่เตี้ยน” หรือ “นโยบายเข้าประถมในสาขานั้น”;
  2. ใช้แลนด์มาร์กในท้องถิ่น: กล่าวถึงสถานที่รอบสาขาภายในรัศมี 3 กม. เช่น โรงเรียน สถานีรถไฟใต้ดิน ศูนย์การค้า (ตัวอย่าง: “อยู่ติดกับโรงเรียนทดลอง XX”);
  3. อัปเกรด Schema: เพิ่มข้อมูล LocalBusiness พร้อมพิกัดละติจูด-ลองจิจูด

ผลลัพธ์: ภายใน 3 เดือน คีย์เวิร์ดหลักของสาขาปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ขึ้นอันดับ 1–3 ในผลการค้นหาแบบท้องถิ่น การเข้าชมจาก SEO เพิ่ม 200% จำนวนการสอบถามเพิ่ม 150%

3 กลยุทธ์เพิ่มทราฟฟิก 2 เท่า ที่นำไปใช้ซ้ำได้

กลยุทธ์ที่ 1: ตั้งจุดยึดคอนเทนต์เฉพาะสาขา

  • เพิ่ม “รีวิวจากนักเรียนในพื้นที่” ที่ท้ายหน้า (เช่น สาขาซีหู หางโจว – “น้องจางจากโรงเรียนซีหู แชร์ประสบการณ์เรียนเปียโน”)
  • ใช้คีย์เวิร์ด Long-tail ท้องถิ่นแทนคำทั่วไป (เช่น “โรงเรียนสอนเปียโน เขตหยางผู่ เซี่ยงไฮ้” → แม่นยำกว่าคำว่า “โรงเรียนสอนเปียโน” เฉยๆ)

กลยุทธ์ที่ 2: สร้างคอนเทนต์แมทริกซ์แยกตามสาขา

  • เปิดบล็อกย่อยสำหรับแต่ละสาขา (เช่น “นโยบายเรียนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กในเขตหนานซาน” จากสาขาเซินเจิ้น หนานซาน)
  • อัปโหลดวิดีโอกิจกรรมของสาขานั้นลง YouTube พร้อมใส่ชื่อเมือง + สาขาในชื่อคลิป แล้วฝังลงหน้าเว็บ

กลยุทธ์ที่ 3: รวมทราฟฟิกให้ตรงเป้า

  • เพิ่มเมนู “เลือกเมือง” บนหน้าเว็บหลัก และตั้งระบบ redirect โดยอิงจาก IP
  • เพิ่มลิงก์ระหว่างหน้าสาขาต่างๆ (ตัวอย่าง: หน้าเว็บสาขาปักกิ่งใส่ “หลักสูตรยอดนิยมของสาขาเทียนจิน” เพื่อเสริม internal link)

รายการเครื่องมือที่ควรใช้

เครื่องมือฟรี:

  1. AnswerThePublic: ค้นหา Long-tail keywords และคำถามที่พบบ่อยในแต่ละเมืองที่มีสาขา
  2. Google My Business: ซิงค์ข้อมูลสาขากับ Google Maps → ติดอันดับใน Local Pack ง่ายขึ้น

เครื่องมือแบบเสียเงินราคาย่อมเยา:

  1. BrightLocal: ติดตามอันดับของสาขาแต่ละแห่งในผลค้นหาแบบท้องถิ่น (ประมาณ $30/เดือน)
  2. Canva Pro: สร้างภาพหรือเนื้อหาสำหรับแต่ละสาขาโดยเปลี่ยนแค่ชื่อเมืองและรูปภาพในเทมเพลต

หลังทราฟฟิกเพิ่มแล้ว ควรทำ 3 สิ่งนี้ต่อทันที

  1. ป้องกันผู้ใช้หลงทาง: เพิ่ม pop-up แจ้งให้เปลี่ยนเมือง ถ้าเข้าเพจผิดสาขา
  2. อัปเดตเนื้อหาเป็นประจำ: เช่น รีวิวใหม่จากนักเรียน กิจกรรมเดือนนี้ ฯลฯ
  3. ป้องกันการถูก AI มองว่าเป็นเนื้อหาซ้ำ: ใช้ Screaming Frog ตรวจสอบความคล้ายกันของเพจสาขาต่างๆ ให้ต่ำกว่า 60%

หากหน้าเว็บของสาขาคุณยังคงเป็นแบบ “แค่เปลี่ยนชื่อเมืองกับเบอร์โทร” ก็ถึงเวลาที่ต้องเริ่ม ปรับ 3 องค์ประกอบหลัก + ใส่ Schema Markup แล้ว คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของทราฟฟิก SEO ภายใน 30 วันแน่นอน

Picture of Don Jiang
Don Jiang

SEO本质是资源竞争,为搜索引擎用户提供实用性价值,关注我,带您上顶楼看透谷歌排名的底层算法。

最新解读
滚动至顶部