
Table of Contens
Toggleหลายสาขาใช้เว็บไซต์เดียวกัน จะถูกมองว่าเป็นเนื้อหาซ้ำหรือไม่?
สำหรับแบรนด์แฟรนไชส์ การที่แต่ละสาขาใช้เว็บไซต์หลักร่วมกันเป็นเรื่องปกติ แต่ผู้ประกอบการหลายคนกังวลว่า ถ้าหน้าเว็บเหมือนกันเกือบหมด แค่เปลี่ยนเบอร์โทรหรือที่อยู่ Google จะคิดว่าเป็น “เนื้อหาซ้ำ” แล้วทำให้อันดับ SEO แย่ลงไหม?
จริง ๆ แล้ว อัลกอริทึมของ Google ไม่ได้ตัดสินแค่จากการก็อปปี้ข้อความแบบเป๊ะ ๆ เท่านั้น ถ้าแต่ละหน้าของสาขามีข้อมูลเฉพาะ เช่น พื้นที่ให้บริการ รีวิวจากลูกค้าในพื้นที่ หรือคีย์เวิร์ดท้องถิ่น Google อาจจะมองว่าเป็น “ความคล้ายกันที่สมเหตุสมผล”
หัวใจสำคัญคือการบาลานซ์ระหว่างความสม่ำเสมอของแบรนด์ กับเนื้อหาที่มีความเฉพาะตัว
Google มองว่า “เนื้อหาซ้ำ” คืออะไร?
- ซ้ำแบบ 100%: เนื้อหา รูปภาพ โครงสร้างหน้าเว็บเหมือนกันเป๊ะทุกอย่าง (เช่น คัดลอกจากหน้าสาขา A มาใช้กับสาขา B);
- คล้ายแต่พอรับได้: ใช้โครงสร้างเดียวกันแต่มีข้อมูลเฉพาะของสาขานั้น เช่น ที่อยู่ รีวิว หรือกิจกรรมในพื้นที่;
- ความเสี่ยงต่ำ: เปลี่ยนแค่เบอร์โทรหรือที่อยู่ แต่ยังมีข้อมูลแผนที่ การเดินทาง หรือบริการเฉพาะพื้นที่ที่แตกต่างกัน
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในหน้าสาขา
- กรณีที่ 1: ชื่อหน้าของทุกสาขาใช้คำว่า “XX แบรนด์|ทุกสาขาทั่วประเทศ” โดยไม่มีชื่อจังหวัดหรือเขตเลย;
- กรณีที่ 2: แค่เปลี่ยนชื่อเมือง ส่วนที่เหลือของเนื้อหายังเหมือนเดิมทุกบรรทัด (เช่น “เรารอคุณที่สาขากรุงเทพ” vs “เรารอคุณที่สาขาเชียงใหม่”);
- กรณีที่ 3: ไม่ได้ตั้งค่า Canonical tag ให้ถูกต้อง ทำให้ Google มองว่าเป็นหน้าซ้ำกัน
แนวทางที่ปลอดภัยในการสร้างหน้าเว็บแต่ละสาขา
- ชื่อหน้าเว็บต้องชัดเจน: ใส่ชื่อเขต+บริการหลัก (ตัวอย่าง: “ศูนย์ซ่อมรถ XX|สาขาสีลม กรุงเทพฯ”);
- มีเนื้อหาเฉพาะพื้นที่: ใส่ข้อมูลท้องถิ่นให้ได้อย่างน้อย 300 คำ (เช่น แหล่งชุมชนใกล้เคียง คำถามพบบ่อยในพื้นที่);
- ตั้งค่าทางเทคนิค: หน้าเทมเพลตหลักให้ตั้ง Canonical ไปยังหน้าโฮม ส่วนหน้าสาขาไม่ต้องตั้ง
แล้วสาขาจะมาแย่งอันดับกันเองไหม?
หลายคนคิดว่า “แค่เปลี่ยนชื่อเมืองในเทมเพลตก็พอ” — ความจริงวิธีนี้เสี่ยงมาก
Google อาจมองว่าหลาย ๆ หน้าไม่มีคุณค่าเฉพาะ ส่งผลให้เกิดการแย่งอันดับกันเองในผลการค้นหา
ความเสี่ยงที่ 1: สาขาแย่งกันติดอันดับ, คนค้นหากระจาย
- ตัวอย่าง: ฟิตเนสเชนแห่งหนึ่งตั้ง 10 หน้าให้ติดคีย์เวิร์ด “คลาสโยคะ” เหมือนกัน ผลคือมีแค่สาขาหลักติดหน้าแรก ส่วนที่เหลือหลุดหมดเพราะเนื้อหาซ้ำ;
- ข้อมูลจาก Semrush: ถ้าหน้าคล้ายกันมากและใช้คีย์เวิร์ดเดียวกัน Google จะเลือกแค่หน้าที่ให้ข้อมูลละเอียดและผู้ใช้อยู่ในหน้านานกว่า ส่วนที่เหลืออันดับตก 20–40%
ความเสี่ยงที่ 2: UX แย่ ลูกค้าหลุดก่อนซื้อ
- ประสบการณ์ผู้ใช้ไม่ดี: ค้นหา “ศูนย์ซ่อมรถ เขตบางนา” แต่คลิกแล้วพาไปหน้าเว็บสำนักงานใหญ่ ต้องหาลิงก์ไปหน้าสาขาเอง → คนกว่า 30% เลิกดู;
- ความเสียหายแฝง: ถึงจะมีหน้าสาขาแต่ถ้าไม่มีคำว่า “บางนา” หรือชื่อถนนในหัวข้อ คนก็เข้าใจผิดคิดว่าไม่ใช่สาขาใกล้ตัว → bounce rate พุ่งเกิน 50%
ความเสี่ยงที่ 3: ถูก Google มองว่า “เนื้อหาคุณภาพต่ำ”
- อัลกอริทึมของ Google: Google จะตรวจเข้มเป็นพิเศษถ้าเนื้อหาซ้ำกันในเว็บเดียวกัน ถ้าหน้าสาขาซ้ำกันเกิน 80% อาจถูกลดอันดับหรือไม่ index เลย;
- ผลกระทบต่อเนื่อง: เว็บหลักโดนลดคะแนน trust ทั้งระบบ คีย์เวิร์ดหลักอันดับหล่น (เช่น เว็บคลินิกแห่งหนึ่งหล่นจากอันดับ 3 เหลือ 15 เพราะหน้าสาขาซ้ำกันหมด)
3 วิธีประหยัดงบ แก้ปัญหาเนื้อหาซ้ำแบบไม่ต้องยกเครื่องเว็บ
หลายคนเข้าใจผิดว่าแก้เนื้อหาซ้ำต้องสร้างโดเมนใหม่ หรือแยกซับโดเมนสำหรับทุกสาขา — จริง ๆ แล้วแค่ปรับเนื้อหาบางจุดกับตั้งค่าบางอย่างก็เพียงพอ
วิธีที่ 1: ทำเทมเพลตเฉพาะสำหรับหน้าสาขา
แนวคิด: ใช้ธีมหลักร่วมกันได้ เช่น เมนู สีแบรนด์ แต่ต้องมีส่วนที่เขียนเฉพาะสาขาเท่านั้น
สิ่งที่ควรทำ:
- เพิ่ม “โมดูลข้อมูลพื้นที่” เช่น แผนที่ครอบคลุมพื้นที่ บริการในโซน รีวิวจากลูกค้าใกล้เคียง;
- แต่ละสาขามี FAQ ไม่เหมือนกัน (สาขาสาทร → “รับจองแบบนิติบุคคลไหม?” / สาขารังสิต → “วันหยุดเปิดไหม?”)
ต้นทุน: ใช้ระบบ CMS เช่น WordPress ทำได้ง่าย ไม่ต้องเขียนโค้ดใหม่ ประหยัดงบ
วิธีที่ 2: ปรับแต่งคอนเทนต์ให้มี “กลิ่นท้องถิ่น” 3 จุด
- จุดที่ 1: ชื่อหน้า/คำอธิบาย meta ต้องใส่ชื่อจังหวัด + ย่าน + จุดสังเกต (ตัวอย่าง: “ติวเตอร์ภาษาอังกฤษ|สาขาพญาไท ใกล้ BTS สะพานควาย”);
- จุดที่ 2: ใส่ชื่อพื้นที่ คำเรียกเฉพาะท้องถิ่นลงในย่อหน้าแรก 200 ตัวอักษร เช่น “ศูนย์อาหาร Union Mall ที่วัยรุ่นลาดพร้าวนิยม”;
- จุดที่ 3: ใช้รูปภาพจริงของสาขานั้น ไม่ใช้ stock photo พร้อม metadata (EXIF) ที่มี location
เครื่องมือแนะนำ: Canva ช่วยทำภาพปก/ป้ายแบนเนอร์แต่ละสาขาง่าย ๆ แทบไม่เสียเงิน
วิธีที่ 3: ใช้ Structured Data (Schema Markup) บอก Google อย่างชัดเจน
ผลลัพธ์: Google จะรู้ทันทีว่าแต่ละหน้าเป็นของ “สาขาแยกกัน” ไม่ใช่หน้าเนื้อหาซ้ำ → ไม่โดนลดอันดับ
ขั้นตอนที่ชัดเจน:
- เพิ่ม Schema ประเภท LocalBusiness ลงในส่วน
<head>ของหน้าเว็บสาขา พร้อมกรอกที่อยู่ เบอร์โทร และเวลาเปิด-ปิดให้ครบถ้วน; - เพิ่ม meta tag “พื้นที่ให้บริการ” ของสาขา (ตัวอย่าง:
<meta name="service-area" content="เขตซวีฮุ่ย เซี่ยงไฮ้">); - ใช้ เครื่องมือตรวจสอบข้อมูลแบบมีโครงสร้างของ Google เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของ Schema ที่ใส่เข้าไป
ตัวอย่างโค้ด (แบบย่อ)
<script type="application/ld+json">
{
"@context": "https://schema.org",
"@type": "AutomotiveBusiness",
"name": "ศูนย์บริการรถยนต์ XX|สาขาผู่ตง เซี่ยงไฮ้",
"address": { /* ที่อยู่โดยละเอียด */ },
"geo": { /* ละติจูดและลองจิจูด */ },
"priceRange": "฿฿"
}
</script> ปรับหน้าเว็บสาขาแบบนี้ ทำให้ทราฟฟิกเพิ่มขึ้น 200%
กรณีศึกษา: แบรนด์การศึกษาสาขาหนึ่งเพิ่มทราฟฟิกจาก 0 → 200% ได้อย่างไร
พื้นหลัง: มีทั้งหมด 20 สาขาทั่วประเทศ ใช้เทมเพลตรูปแบบเดียวกันทั้งหมด แค่เปลี่ยนชื่อเมืองเท่านั้น อัตราการออกจากหน้าเกิน 80% ไม่มีการเข้าชมจาก SEO เลย
แนวทางหลัก:
- เพิ่ม Q&A สำหรับผู้ปกครองในแต่ละพื้นที่ เช่น: “คำถามที่พบบ่อยของผู้ปกครองในเขตไห่เตี้ยน” หรือ “นโยบายเข้าประถมในสาขานั้น”;
- ใช้แลนด์มาร์กในท้องถิ่น: กล่าวถึงสถานที่รอบสาขาภายในรัศมี 3 กม. เช่น โรงเรียน สถานีรถไฟใต้ดิน ศูนย์การค้า (ตัวอย่าง: “อยู่ติดกับโรงเรียนทดลอง XX”);
- อัปเกรด Schema: เพิ่มข้อมูล LocalBusiness พร้อมพิกัดละติจูด-ลองจิจูด
ผลลัพธ์: ภายใน 3 เดือน คีย์เวิร์ดหลักของสาขาปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ขึ้นอันดับ 1–3 ในผลการค้นหาแบบท้องถิ่น การเข้าชมจาก SEO เพิ่ม 200% จำนวนการสอบถามเพิ่ม 150%
3 กลยุทธ์เพิ่มทราฟฟิก 2 เท่า ที่นำไปใช้ซ้ำได้
กลยุทธ์ที่ 1: ตั้งจุดยึดคอนเทนต์เฉพาะสาขา
- เพิ่ม “รีวิวจากนักเรียนในพื้นที่” ที่ท้ายหน้า (เช่น สาขาซีหู หางโจว – “น้องจางจากโรงเรียนซีหู แชร์ประสบการณ์เรียนเปียโน”)
- ใช้คีย์เวิร์ด Long-tail ท้องถิ่นแทนคำทั่วไป (เช่น “โรงเรียนสอนเปียโน เขตหยางผู่ เซี่ยงไฮ้” → แม่นยำกว่าคำว่า “โรงเรียนสอนเปียโน” เฉยๆ)
กลยุทธ์ที่ 2: สร้างคอนเทนต์แมทริกซ์แยกตามสาขา
- เปิดบล็อกย่อยสำหรับแต่ละสาขา (เช่น “นโยบายเรียนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กในเขตหนานซาน” จากสาขาเซินเจิ้น หนานซาน)
- อัปโหลดวิดีโอกิจกรรมของสาขานั้นลง YouTube พร้อมใส่ชื่อเมือง + สาขาในชื่อคลิป แล้วฝังลงหน้าเว็บ
กลยุทธ์ที่ 3: รวมทราฟฟิกให้ตรงเป้า
- เพิ่มเมนู “เลือกเมือง” บนหน้าเว็บหลัก และตั้งระบบ redirect โดยอิงจาก IP
- เพิ่มลิงก์ระหว่างหน้าสาขาต่างๆ (ตัวอย่าง: หน้าเว็บสาขาปักกิ่งใส่ “หลักสูตรยอดนิยมของสาขาเทียนจิน” เพื่อเสริม internal link)
รายการเครื่องมือที่ควรใช้
เครื่องมือฟรี:
- AnswerThePublic: ค้นหา Long-tail keywords และคำถามที่พบบ่อยในแต่ละเมืองที่มีสาขา
- Google My Business: ซิงค์ข้อมูลสาขากับ Google Maps → ติดอันดับใน Local Pack ง่ายขึ้น
เครื่องมือแบบเสียเงินราคาย่อมเยา:
- BrightLocal: ติดตามอันดับของสาขาแต่ละแห่งในผลค้นหาแบบท้องถิ่น (ประมาณ $30/เดือน)
- Canva Pro: สร้างภาพหรือเนื้อหาสำหรับแต่ละสาขาโดยเปลี่ยนแค่ชื่อเมืองและรูปภาพในเทมเพลต
หลังทราฟฟิกเพิ่มแล้ว ควรทำ 3 สิ่งนี้ต่อทันที
- ป้องกันผู้ใช้หลงทาง: เพิ่ม pop-up แจ้งให้เปลี่ยนเมือง ถ้าเข้าเพจผิดสาขา
- อัปเดตเนื้อหาเป็นประจำ: เช่น รีวิวใหม่จากนักเรียน กิจกรรมเดือนนี้ ฯลฯ
- ป้องกันการถูก AI มองว่าเป็นเนื้อหาซ้ำ: ใช้ Screaming Frog ตรวจสอบความคล้ายกันของเพจสาขาต่างๆ ให้ต่ำกว่า 60%
หากหน้าเว็บของสาขาคุณยังคงเป็นแบบ “แค่เปลี่ยนชื่อเมืองกับเบอร์โทร” ก็ถึงเวลาที่ต้องเริ่ม ปรับ 3 องค์ประกอบหลัก + ใส่ Schema Markup แล้ว คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของทราฟฟิก SEO ภายใน 30 วันแน่นอน




