Google ได้ยืนยันอย่างเป็นทางการว่า Core Web Vitals (LCP ต่ำกว่า 2.5 วินาที, FID ต่ำกว่า 100 มิลลิวินาที, CLS ต่ำกว่า 0.1) เป็นสัญญาณอันดับหลัก และหน้าเว็บมือถือ 75% สูญเสียโอกาสในการติดอันดับ Top 3
Googlebot จะหยุดการรวบรวมข้อมูลหากใช้เวลาเกิน 1 วินาที ทำให้การจัดทำดัชนีเนื้อหาใหม่ล่าช้าถึง 47% เมื่อการโหลดหน้าเว็บเพิ่มจาก 1 วินาทีเป็น 5 วินาที อัตราการออกจากหน้าเว็บพุ่งขึ้น 90% (ข้อมูลจาก Adobe) ผู้ใช้มือถือ 53% จะออกจากเว็บไซต์ทันทีหากหน้าเว็บไม่โหลดภายใน 3 วินาที
จาก HTTP Archive ค่าเฉลี่ย LCP ของโลกสูงถึง 2.9 วินาที (62% ไม่ผ่านเกณฑ์) และทุกครั้งที่ลดเวลาตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์ 100 มิลลิวินาที อัตราการแปลงจะเพิ่มขึ้น 8.4%

Table of Contens
ToggleLCP (Largest Contentful Paint)
ลองนึกภาพว่าคุณคลิกเข้าเว็บเพจแล้วเจอแต่หน้าว่างหรือแค่ไอคอนโหลดหมุน ถ้าใช้เวลาเกิน 3 วินาที ยังไม่เห็นเนื้อหาหลัก คุณจะปิดหน้าเว็บเลยไหม? Google พบว่าหากหน้าเว็บโหลดเกิน 2.5 วินาที โอกาสที่ผู้ใช้จะออกจากเว็บพุ่งขึ้น 32% หากเกิน 3 วินาที ผู้ใช้มือถือ 53% จะออกทันที
นี่คือ LCP หรือ Largest Contentful Paint (เวลาการแสดงเนื้อหาที่ใหญ่ที่สุด) ใช้วัดว่าเนื้อหาสำคัญที่สุดบนหน้าเว็บ เช่น ภาพขนาดใหญ่ แบนเนอร์ หรือวิดีโอปก แสดงขึ้นเมื่อไหร่ ไม่ใช่เวลาที่หน้าเว็บโหลดเสร็จทั้งหมด แต่ดูว่าเนื้อหาหลักที่ผู้ใช้สนใจปรากฏเร็วแค่ไหน
ทุกวินาทีที่ LCP ช้าลง อัตราการแปลงอาจลดลง 7%!
เกณฑ์ผ่านของ LCP คือเท่าไหร่?
Google แบ่งระดับ LCP ออกเป็น 3 ระดับ ใช้สีแยก:
ดี (เขียว): ≤ 2.5 วินาที
—— นี่คือเป้าหมาย Google ต้องการให้ ผู้เข้าชมอย่างน้อย 75% ได้รับประสบการณ์นี้ จึงถือว่า “ประสบการณ์ดี”
ต้องปรับปรุง (เหลือง): 2.5 วินาที ~ 4 วินาที
—— เกินหนึ่งในสี่ของผู้ใช้จะรู้สึกว่าเว็บช้า อัตราการออกจากเว็บเพิ่มขึ้น 5%-10% และอันดับการค้นหาอาจลดลง
แย่ (แดง): > 4 วินาที
—— ประสบการณ์แย่มาก ครึ่งหนึ่งของผู้ใช้อาจออกทันที อัตราการแปลงลดลง 20%-30% และอันดับการค้นหาจะลดลงอย่างชัดเจน
วิธีตรวจสอบคะแนน LCP ของเว็บไซต์คุณ
PageSpeed Insights (PSI): ใส่ URL แล้วจะแสดงค่าจริงของ LCP พร้อมสีเกรดและข้อมูลจากผู้ใช้จริง
Lighthouse: อยู่ใน Chrome DevTools สามารถจำลองความเร็วการโหลดและให้คะแนน LCP (เป้าหมาย: 90 ขึ้นไป)
Web Vitals Extension: ส่วนขยาย Chrome แสดง LCP, FID, CLS แบบเรียลไทม์
รายงาน Search Console: สรุปประสิทธิภาพ LCP ของทุกหน้าบนเว็บไซต์ของคุณในช่วง 28–90 วันที่ผ่านมา ช่วยให้คุณระบุหน้าที่ต้องปรับปรุงได้
เป้าหมายชัดเจน: ทำให้ LCP ไม่เกิน 2.5 วินาที และให้แน่ใจว่า อย่างน้อย 75% ของผู้เข้าชมถึงความเร็วนี้
ปัญหา LCP ที่พบบ่อย
มีหลายสาเหตุที่ทำให้ LCP ช้า นี่คือปัญหาที่พบบ่อยที่สุด:
การตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์ช้า (TTFB ยาวเกินไป)
—— หากเซิร์ฟเวอร์ตอบสนองช้า หน้าเว็บจะโหลดช้า TTFB (Time To First Byte) ควรอยู่ภายใน 200 มิลลิวินาที และไม่เกิน 500 มิลลิวินาที
ปัจจัยที่ส่งผล:
- ประสิทธิภาพเซิร์ฟเวอร์ต่ำ
- การค้นหาฐานข้อมูลช้า
- ไม่ได้ใช้ CDN หรือ CMS หนักเกินไป
ทรัพยากรในส่วนแรกของหน้าใหญ่เกินไปหรือช้าเกินไป
- รูปภาพ/วิดีโอใหญ่เกินไป: 2MB, 5MB หรือมากกว่า โดยเฉพาะรูปใหญ่บนหน้าแรก ใช้รูปแบบ WebP หรือ AVIF จะช่วยลดขนาดไฟล์ได้ 30%-50%
JavaScript/CSS บล็อกการเรนเดอร์: JS ใหญ่เกินไป หรือไม่ได้ตั้งค่า defer/async, CSS โหลดไม่เป็นลำดับที่ถูกต้อง จะทำให้ส่วนแรกของหน้าช้า
ลำดับการโหลดทรัพยากรสับสน
—— เบราว์เซอร์ไม่รู้ว่าส่วนไหนเป็นองค์ประกอบ LCP หลัก ทำให้โหลดเนื้อหาที่ไม่สำคัญก่อน วิธีแก้คือใช้ preload หรือ fetchpriority="high" เพื่อบอกเบราว์เซอร์ว่าส่วนไหนสำคัญ
ปัญหาการเรนเดอร์ฝั่งไคลเอนต์ (CSR)
—— หน้าเว็บที่สร้างด้วย React/Vue หากไม่ได้ทำเซิร์ฟเวอร์เรนเดอร์ ผู้ใช้จะเห็นหน้าว่างจนกว่า JS จะทำงานเสร็จ JS ขนาดใหญ่ (1MB+) ทำงานช้า LCP อาจเกิน 4 วินาที
ไม่ได้ใช้ CDN หรือ CDN ตั้งค่าไม่ดี
—— ผู้ใช้ที่อยู่ไกลจากเซิร์ฟเวอร์ (เช่น ผู้ใช้ในจีนเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐฯ) โหลดช้า CDN ช่วยกระจายทรัพยากรใกล้ผู้ใช้ ทำให้เร็วขึ้นมาก
สคริปต์บุคคลที่สามเยอะเกินไปหรือหนักเกินไป
—— โฆษณา เครื่องมือวิเคราะห์ ตัวติดตาม ฯลฯ ใช้เธรดหลัก ทำให้หน้าโหลดช้า สคริปต์โฆษณาเดียวอาจทำให้หน้าช้าขึ้น 500ms หรือมากกว่า
วิธีเพิ่มประสิทธิภาพ LCP
ปรับปรุงความเร็วตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์ (TTFB)
ใช้ CDN: แจกจ่ายภาพ, CSS, JS ผ่าน Cloudflare หรือ CDN อื่น ๆ เพื่อลดภาระของเซิร์ฟเวอร์และเพิ่มความเร็วการตอบสนอง ผู้ใช้ทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้เร็วขึ้น 30%-70%
ปรับปรุงประสิทธิภาพเซิร์ฟเวอร์: เพิ่มหน่วยความจำ, ปรับปรุงฐานข้อมูล, ใช้แคช (Redis, Memcached), หรืออัปเกรดสภาพแวดล้อมรันไทม์
เลือกโฮสต์ที่ดี: โฮสต์แชร์ช้า? เปลี่ยนเป็น VPS หรือโฮสต์คลาวด์ที่ปรับปรุงแล้ว ใช้เงินเพิ่มไม่กี่ร้อยบาทต่อเดือนก็สามารถทำให้ LCP เร็วขึ้น 1 วินาที และเพิ่มอัตราการแปลงได้มาก
ปรับแต่งภาพและวิดีโอ
ระบุองค์ประกอบเนื้อหาที่ใหญ่ที่สุด (LCP): มักเป็นภาพหรือวิดีโอหลักในหน้าจอแรก ใช้เครื่องมือเพื่อตรวจสอบ
กลยุทธ์การปรับภาพ:
- ขนาดเหมาะสม: อย่าใช้ภาพใหญ่เกินไปบนหน้าจอเล็ก ใช้ภาพขนาดเล็กสำหรับมือถือ และภาพใหญ่สำหรับเดสก์ท็อป
- ฟอร์แมทสมัยใหม่: ใช้ WebP หรือ AVIF แทน JPG/PNG เพื่อลดขนาดไฟล์
- บีบอัด: ใช้เครื่องมือ เช่น Squoosh บีบอัดให้เหลือไม่กี่ร้อย KB
- โหลดแบบ Lazy: สำหรับภาพด้านล่างหน้าจอให้ใช้
loading="lazy"แต่ภาพ LCP อย่าโหลดแบบ Lazy!
ปรับลำดับความสำคัญการโหลดทรัพยากร
- Preload ทรัพยากรสำคัญ: ใช้
<link rel="preload">เพื่อโหลด LCP (ภาพ, CSS, ฟอนต์) ล่วงหน้า - เพิ่มลำดับความสำคัญ: ใช้
fetchpriority="high"เพื่อบอกเบราว์เซอร์ว่าทรัพยากรไหนสำคัญที่สุด - โหลด JS ที่ไม่สำคัญแบบ Async: สำหรับโฆษณา, การวิเคราะห์ ใช้
asyncหรือdeferเพื่อไม่ให้บล็อก main thread
ลดการบล็อกการแสดงผล
- Inline CSS สำคัญ: สไตล์สำหรับหน้าจอแรกใส่ใน HTML โดยตรง ยิ่งเล็กยิ่งดี (<15KB)
- Server-Side Rendering (SSR) หรือ Static Site Generation (SSG): โปรเจ็กต์ React/Vue ใช้ Next.js, Nuxt.js เพื่อสร้าง HTML ล่วงหน้าที่มีเนื้อหา ช่วยลด LCP จาก 4–6 วินาที เป็น 1–2 วินาที
จัดการสคริปต์ของบุคคลที่สาม
- ตัดและตรวจสอบ: ใช้เครื่องมือหาสคริปต์ช้า (โหลด >500ms หรือ exec >300ms) ลบถ้าได้ หรือเปลี่ยนเป็นเบา
- โหลดล่าช้า: สคริปต์ที่ไม่สำคัญให้รันหลังโหลดหน้าเสร็จ (เช่น หลัง
window.onload) - แยกสคริปต์ด้วย Sandbox: ใช้
iframeแยกสคริปต์ที่เสี่ยงสูง ไม่ให้กระทบ performance ของหน้า
FID (ความล่าช้าในการป้อนข้อมูลครั้งแรก)
เมื่อผู้ใช้คลิกปุ่มบนเว็บไซต์เป็นครั้งแรก (เช่น “ซื้อเลย” หรือ “ขยายเมนู”) หากหน้าเว็บใช้เวลาเกิน 300 มิลลิวินาที ในการตอบสนอง 76% ของผู้ใช้จะรู้สึกว่าหน้าเว็บช้า
เวลารอคอยนี้เรียกว่า FID (ความล่าช้าในการป้อนข้อมูลครั้งแรก) มันวัดช่วงเวลาระหว่าง การโต้ตอบครั้งแรกของผู้ใช้ กับ เวลาที่เบราว์เซอร์ตอบสนอง
FID ไม่ได้วัดระยะเวลาที่สคริปต์ทั้งหมดทำงาน แต่จะดูว่า “เธรดหลักของเบราว์เซอร์” ถูกงานอื่นครอบงำหรือไม่ ทำให้ไม่สามารถตอบสนองผู้ใช้ได้ทันที
ทำไมถึงช้า?
เพราะเบราว์เซอร์สามารถทำได้ทีละงาน (มีเพียงเธรดหลักเดียว) เมื่อคุณคลิก หากเธรดหลักกำลังทำงานอื่นอยู่ เช่น โหลดสคริปต์โฆษณาขนาดใหญ่ การคลิกของคุณก็ต้องรอจนงานนั้นเสร็จ
ข้อมูลมือถือของ Google ปี 2023 ระบุว่า:
ถ้า FID เกิน 300ms อัตราการแปลงจะ ลดลง 22%
ทุกการหน่วงเวลาเพิ่มขึ้น 100ms มีโอกาสที่ผู้ใช้จะออกจากหน้าเว็บ เพิ่มขึ้น 8%
ในหน้าชำระเงินอีคอมเมิร์ซ หาก FID เกิน 250ms อัตราการทิ้งตะกร้าจะ เพิ่มขึ้น 18%
📌 FID วัด เวลาจากการคลิก แตะ หรือพิมพ์ครั้งแรกของผู้ใช้จริง จนถึงเวลาที่เบราว์เซอร์ตอบสนอง การทดสอบจำลองไม่สามารถแทนได้ทั้งหมด ต้องวิเคราะห์จากข้อมูลผู้ใช้จริง (RUM)
ใช้เวลาเท่าไรถึงเรียกว่า “ไม่ช้า”?
Core Web Vitals ของ Google กำหนดเกณฑ์ FID ตามข้อมูลผู้ใช้จริงย้อนหลัง 28 วัน:
| ระดับ | ความล่าช้า FID | ความรู้สึกผู้ใช้ | ผลกระทบต่อธุรกิจ |
|---|---|---|---|
| ✅ ดีเยี่ยม | ≤ 100ms | ตอบสนองเร็ว | อัตราการแปลงเพิ่มขึ้น 12%+, อันดับการค้นหาดีขึ้น |
| ⚠️ ต้องปรับปรุง | 101–300ms | รู้สึกหน่วง | อัตราการออกจากหน้าเพิ่มขึ้น 5~15% |
| ❌ รีวิวแย่ | > 300ms | รู้สึกเหมือนค้าง | อัตราการสูญเสียผู้ใช้เกิน 25% |
เกณฑ์ผ่าน:
75% ของการเข้าชม ควรอยู่ภายใน 100ms โดยเฉพาะบนมือถือ
เครื่องมือแนะนำ:
รายงานประสบการณ์ผู้ใช้ของ Chrome (CrUX): ตรวจสอบการกระจาย FID ทั้งโดเมน
PageSpeed Insights: ผสมผสานข้อมูลจำลองและข้อมูลจริง
Search Console: ตรวจสอบสัดส่วนหน้าที่ผ่านเกณฑ์
ทำไมการคลิกถึงไม่ตอบสนอง?
🔸 งานยาวครอบงำ Main Thread
สคริปต์ JS ที่ ใช้เวลามากกว่า 50ms ถือเป็น “งานยาว”
ตัวอย่างเช่น การโหลดสคริปต์โฆษณาที่ไม่ได้ปรับแต่ง อาจบล็อก Main Thread กว่า 400ms ซึ่งในช่วงนั้นการคลิกของผู้ใช้จะถูกละเลยทั้งหมด
🔸 ไฟล์ JS ใหญ่เกินไป
การโหลดไฟล์ JS ที่มีขนาด เกิน 500KB โดยเฉพาะบนมือถือรุ่นต่ำ เวลา parsing อาจใช้ 800ms
ซึ่งจะเห็นชัดเมื่อใช้เฟรมเวิร์กเช่น React หรือ Vue โดยเฉพาะช่วง hydration ของหน้า
🔸 สคริปต์ของบุคคลที่สามเยอะเกินไป
โดยเฉลี่ย หน้าเว็บหนึ่งหน้าโหลด มากกว่า 22 ทรัพยากรบุคคลที่สาม
เช่น ปลั๊กอินโซเชียลมีเดีย บนมือถือรุ่นต่ำ เวลาใช้งานแตกต่างกันมาก ตั้งแต่ 200ms ถึง 800ms
🔸 CPU ทำงานหนักเกินไป
เช่น มือถือกลาง (Snapdragon 6 series) หาก Main Thread ใช้งานเกิน 80% การคลิกของผู้ใช้จะต้องเข้าคิว เวลารออาจตั้งแต่ 150ms ถึง 1200ms
💡 เครื่องมือแนะนำ:
ใช้ แผง Performance ของ Chrome DevTools เพื่อตรวจสอบงานยาวและ waterfall ของ Main Thread
วิธีทำให้การทำงานไม่สะดุด
✅ วิธีที่ 1: แบ่งงานยาว ๆ ออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ
เดิมที งานหนึ่งใช้เวลา 120ms ในการทำงาน ทำให้เบราว์เซอร์ไม่สามารถตอบสนองต่อการกระทำของผู้ใช้ได้
// หลังจากแบ่งงานแล้ว ควบคุมให้แต่ละชิ้นไม่เกิน 30ms
function chunkedProcess() {
let index = 0;
function doChunk() {
const start = Date.now();
while (index < data.length && Date.now() – start < 30) {
processItem(data[index++]);
}
if (index < data.length) {
setTimeout(doChunk, 0); // ปล่อยให้ main thread ทำงานอื่น
}
}
doChunk();
}
ผลลัพธ์: งานที่เคยใช้เวลา 250ms ตอนนี้สูงสุดเพียง 32ms และ FID ลดลง 85%
✅ วิธีที่ 2: ปรับลำดับความสำคัญในการโหลด JS
เขียนโค้ด JS ที่สำคัญไว้ใน HTML โดยตรง (ขนาดไม่เกิน 15KB)
โหลดสคริปต์ JS ที่ไม่สำคัญแบบช้า
<!– สคริปต์ที่ไม่จำเป็นสำหรับหน้าบนโหลดช้า –>
<script defer src=”non-critical.js”></script><!– สคริปต์โฆษณา/วิเคราะห์โหลดหลังจากหน้าโหลดเสร็จ –>
<script>
window.addEventListener(‘load’, () => {
const script = document.createElement(‘script’);
script.src = “ads.js”;
document.body.appendChild(script);
});
</script>
ผลลัพธ์: ภาระบน main thread ลดลง 40%~70%
✅ วิธีที่ 3: รันโค้ดของบุคคลที่สามแบบ “แยกออก”
ใช้ iframe sandbox:<iframe sandbox=”allow-scripts” src=”third-party-ad.html”></iframe>
วิธีนี้ทำให้โค้ดบุคคลที่สามไม่รบกวน main thread
ใช้ Web Worker สำหรับงานหนัก
// main thread
const worker = new Worker(‘crypto-worker.js’);
worker.postMessage(data);// งานหนักถูกประมวลผลใน worker
self.onmessage = (e) => {
const result = heavyCryptoWork(e.data);
self.postMessage(result);
};
ผลลัพธ์: ตัวอย่างเช่น งานเข้ารหัส ลดเวลาจาก 300ms เหลือ 20ms ใน main thread
CLS (Cumulative Layout Shift)
คุณเคยเปิดเว็บเพจแล้วหน้าจอกระโดดกระทันหันจนคลิกผิดไหม? นั่นคือปัญหา CLS
CLS ย่อมาจาก Cumulative Layout Shift (การเปลี่ยนแปลงเค้าโครงสะสม) ใช้วัดความเสถียรของหน้าเว็บในระหว่างโหลด คะแนนอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1, คะแนนต่ำ = หน้าเสถียร, คะแนนสูง = กระโดดบ่อย Google แนะนำ: CLS ควรต่ำกว่า 0.1 สำหรับดี, ต่ำกว่า 0.05 สำหรับยอดเยี่ยม, หากมากกว่า 0.25 ต้องปรับปรุงทันที
ทำไม CLS จึงควรได้รับความสนใจ? เพราะมันมีผลโดยตรงต่อประสบการณ์ผู้ใช้ และอาจทำให้เกิดการสูญเสียรายได้ด้วย เช่น:
เมื่อ CLS เกิน 0.2 อัตราการออกจากหน้าเว็บจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 25% และอัตราการแปลงจะลดลง 18%;
หากการโหลดหน้าเว็บล่าช้าเพียง 100 มิลลิวินาที ความเสี่ยงของ CLS จะเพิ่มขึ้น 15%;
รูปภาพที่ไม่ได้กำหนดขนาดล่วงหน้าทำให้เกิดเหตุการณ์ CLS ถึง 65%;
หากสามารถลด CLS ให้ต่ำกว่า 0.05 อัตราการเก็บผู้ใช้จะเพิ่มขึ้น 20% และ ระยะเวลาการใช้งานเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 30 วินาที.
เกณฑ์ CLS
Google ได้กำหนดเกณฑ์ CLS ที่ชัดเจน: ต่ำกว่า 0.1 ถือว่าผ่าน, ต่ำกว่า 0.05 ถือว่าดีเยี่ยม, มากกว่า 0.25 ถือว่าเป็นสัญญาณเตือน. และ 90% ของเว็บไซต์ทั่วโลกตั้งเป้าไว้ต่ำกว่า 0.1 ด้วยเหตุผลที่ดี.
ข้อมูลแสดงให้เห็นว่า: หน้าเว็บที่มี CLS < 0.1 มีอัตราการออกจากหน้าเว็บเฉลี่ยเพียง 5% แต่หน้าเว็บที่มี CLS > 0.25 อัตราการออกจากหน้าเว็บอาจสูงถึง 30%. โดยเฉพาะเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซและข่าว ค่ามัธยฐานของ CLS ต้องควบคุมให้อยู่ต่ำกว่า 0.08 และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานไม่เกิน 0.02 มิฉะนั้นจะส่งผลต่อการจัดอันดับและการเข้าชม.
ปัญหาการโหลดแบบหน่วงก็ไม่ควรถูกมองข้าม หากองค์ประกอบของหน้าโหลดล่าช้า 0.3 วินาที CLS จะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.05 และถ้าโฆษณาไม่ได้กำหนดขนาด (เช่น 400px × 200px) CLS อาจเพิ่มขึ้นเป็น 0.15.
จากมุมมองทางเศรษฐกิจ, การรักษา CLS ให้เหมาะสมสามารถทำให้อัตราการแปลงเพิ่มขึ้น 10% และ ROI เพิ่มขึ้น 8%. ในเชิงสถิติ 65% ของเว็บไซต์มี CLS เฉลี่ยอยู่ที่ 0.12 แต่ต้องสังเกตว่า ค่ามัธยฐานที่ผ่านเกณฑ์คือ 0.07 หน้าเว็บที่มีค่าสูงสุดเกิน 0.4 ต้องใช้เวลาแก้ไขโดยเฉลี่ย 3 วัน และมีค่าใช้จ่ายประมาณ 500 ดอลลาร์.
นอกจากนี้ ความแม่นยำของ CLS ยังขึ้นอยู่กับความแตกต่างของอุปกรณ์และความซับซ้อนของหน้าเว็บ เมื่อองค์ประกอบของหน้ามากกว่า 100 รายการ ช่วงยอมรับของ CLS ต้องควบคุมให้อยู่ใน ±0.02 และความแม่นยำต้องถึง 95%. มิฉะนั้น อัตราการออกจากหน้าเว็บจะเพิ่มขึ้น 25% และกำไรลดลง 10%.
ปัญหา CLS ที่พบบ่อย
ประเภทแรกคือ การโหลดเนื้อหาแบบไดนามิก ตัวอย่างเช่น โฆษณาหรือป๊อปอัพ หากไม่ได้กำหนดขนาดที่ตายตัว จะไปดันองค์ประกอบอื่น ๆ บนหน้าเมื่อโหลด กรณีนี้มักทำให้คะแนนการเลื่อนอยู่ระหว่าง 0.1–0.15 คิดเป็นสัดส่วนถึง 60% และแต่ละครั้งอาจเสียการโต้ตอบของผู้ใช้ถึง 5%
ประเภทที่สองคือ สคริปต์บุคคลที่สามล่าช้า เว็บไซต์หลายแห่งโหลดสคริปต์ภายนอก เช่น แชทออนไลน์หรือการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งอาจล่าช้า 200ms และทำให้ CLS เพิ่มขึ้น 0.05 ประมาณ 75% ของเว็บไซต์ประสบปัญหาประสบการณ์ผู้ใช้แย่ลงจากสาเหตุนี้ ตัวอย่างเช่น สคริปต์อีคอมเมิร์ซใช้แบนด์วิธ 10Mbps ทำให้หน้าโหลดช้าเป็น 4 วินาที CLS พุ่งขึ้นเป็น 0.25 และอัตราการออกจากหน้าพุ่งขึ้น 20%
ประเภทที่สามคือ ภาพ/วิดีโอที่ไม่ได้กำหนดขนาด เนื้อหาขนาด 800px × 600px หากไม่ได้กำหนดขนาด จะดันองค์ประกอบรอบ ๆ เมื่อโหลด ซึ่งคิดเป็น 45% ของเหตุการณ์เลื่อน CLS มีความผันผวน ±20% ในตัวอย่าง 50 หน้า อัตราความเบี่ยงเบนเกิน 70% และค่าใช้จ่ายในการแก้ไขแต่ละครั้งประมาณ 200 ดอลลาร์
ถัดไปคือ การทับซ้อนขององค์ประกอบ หากมี div ความสูง 100px หลายตัววางชิดกัน ความกดดันต่อหน้าเพิ่มขึ้น 50% ทำให้ความเสี่ยง CLS เพิ่มขึ้น 30%
ยังมีปัจจัยเวลา: หากการโหลดทรัพยากรเกิน 500ms และเกิดซ้ำ 10 ครั้ง จะทำให้ CLS เพิ่ม 0.03 โฆษณาที่รีเฟรชอัตโนมัติทุก 30 วินาที CLS สามารถสูงสุดถึง 0.35
หากปัญหาเหล่านี้ไม่ถูกแก้ไขทันเวลา อาจทำให้สูญเสียรายได้ 5–10% ต่อเดือน และ CLS อาจเลวลง 2% ต่อสัปดาห์
วิธีปรับปรุง CLS อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นแรก เริ่มจากพื้นฐานคือ “กำหนดขนาด” รูปภาพ โฆษณา และวิดีโอทั้งหมดควรกำหนดความกว้างและความสูงล่วงหน้า (เช่น 400px × 250px) ซึ่งจะลดปัญหาการเลื่อนหน้าได้ 40% การเพิ่มคุณสมบัติ CSS max-width: 100% นอกจากจะช่วยรองรับการแสดงผลได้ดี ยังช่วยเร่งเวลาโหลดประมาณ 0.2 วินาที และลดความเสี่ยง CLS ลง 35%
ขั้นที่สอง ปรับแต่งการโหลดทรัพยากร บีบอัดภาพให้ต่ำกว่า 500KB จะลดความถี่การเกิดเหตุการณ์ลง 70% และลด CLS ลง 0.1 นอกจากนี้ ควบคุมขนาดฟอนต์ วิดีโอ และทรัพยากรอื่น ๆ ไม่เกิน 10MB โหลดเสร็จภายใน 100ms ความน่าจะเป็นของการเลื่อนลดลง 30%
ขั้นที่สาม จัดการสคริปต์บุคคลที่สาม แนะนำให้ใช้ การโหลดแบบอะซิงโครนัสหรือเลื่อนเวลา เช่น เลื่อนการโหลดเครื่องมือภายนอก 500ms ซึ่งจะช่วยลดความถี่ในการเกิดเหตุการณ์ ทำให้ CLS median ลดลงเหลือ 0.05 และ อัตราการแปลงเพิ่มขึ้น 10%
เนื้อหาไดนามิกควรแทรกอย่าง “นุ่มนวล” สามารถ เพิ่มการเปลี่ยนภาพแบบแอนิเมชัน 50ms หรือกำหนด พื้นที่บัฟเฟอร์ 20% ซึ่งจะลดความคลาดเคลื่อน CLS เหลือ ±0.01 ทำให้การโหลดดูราบรื่น
สุดท้าย การใช้เครื่องมือทดสอบที่เหมาะสมก็สำคัญ แนะนำ Lighthouse และ Chrome DevTools ความแม่นยำในการทดสอบสูงถึง 95% ติดตามผลต่อเนื่อง 1 สัปดาห์ และวิเคราะห์ย้อนกลับเพื่อหาวัตถุประสงค์ในการปรับปรุงที่สำคัญ
ด้านต้นทุนก็คุ้มค่า ค่าเฉลี่ยในการแก้ไข CLS ประมาณ 50 ดอลลาร์ ใช้เวลาเพียง 1 วัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้มีประสิทธิภาพ: อัตราการคงอยู่ของผู้ใช้เพิ่มขึ้น 15% อายุการใช้งานเว็บไซต์เพิ่มขึ้น 2 ปี CLS median ลดจาก 0.15 เป็น 0.06 ความแปรปรวนลดลงครึ่งหนึ่ง และ รายได้รวมเพิ่มขึ้น 5%
ใช้ PageSpeed Insights ตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณตอนนี้ — คุณจะพบจุดปรับปรุงที่สำคัญที่สุดภายใน 30 นาที!




